กิจของพระภิกษุในพระธรรมวินัย คือ อบรมเจริญปัญญา

 
kanchana.c
วันที่  5 พ.ย. 2559
หมายเลข  28333
อ่าน  2,099

ท่านอาจารย์บรรยายไว้ในแนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 818 มีข้อความตอนหนึ่งว่า

สำหรับผู้ที่เป็นพระภิกษุ พระผู้มีพระภาคทรงเตือนพระภิกษุทั้งหลายผู้บวชเพื่อรู้แจ้งพระนิพพานว่า ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาก็ไม่สมควรที่จะเป็นภิกษุ เพราะไม่ตรงกับจุดประสงค์ของการบวช

ข้อความใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ชีวิตสูตร

๒. ชีวิตสูตร

[๒๗๑] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นอยู่เพราะการแสวงหาก้อนข้าวนี้เป็นกรรมที่ลามกของบุคคลผู้เป็นอยู่ทั้งหลาย บุคคลผู้ด่าย่อมด่าว่า ท่านผู้นี้มีบาตรในมือย่อมเที่ยวแสวงหาก้อนข้าวในโลก

ปัจจุบันนี้ก็มีผู้พูดอย่างนี้ใช่ไหม? คนที่จะด่าก็มีเหตุที่จะด่าได้ คือว่า ท่านผู้นี้มีบาตรในมือย่อมเที่ยวแสวงหาก้อนข้าว

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็กุลบุตรทั้งหลายเป็นผู้เป็นไปในอำนาจแห่งเหตุ อาศัยอำนาจแห่งเหตุ ไม่ได้ถูกพระราชาทรงให้นำไปจองจำไว้เลย ไม่ได้ถูกพวกโจรนำไปกักขังไว้ ไม่ได้เป็นหนี้ ไม่ได้ตกอยู่ในภัย เป็นผู้มีความเป็นอยู่เป็นปรกติ ย่อมเข้าถึงความเป็นอยู่ด้วยการแสวงหาก้อนข้าวนั้น ด้วยคิดว่า ก็แม้พวกเราแลเป็นผู้ถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสครอบงำแล้ว ถูกทุกข์ติดตามแล้ว ถูกทุกข์ครอบงำแล้ว แม้ไฉนการกระทำซึ่งที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏ

แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่จะบวชนี้ไม่ได้ถูกบังคับ แม้พระราชาก็ไม่ได้บังคับว่า ถ้าไม่บวชก็จะไปจองจำ หรือว่าไม่ได้ถูกพวกโจรนำไปกักขัง ไม่ได้เป็นหนี้ ไม่ได้ตกอยู่ในภัยอันตรายใดๆ แต่ว่าเป็นผู้ที่มีความเป็นอยู่เป็นปกติ แล้วก็มีความคิดว่า เป็นผู้ถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสครอบงำแล้ว ถูกทุกข์ติดตามแล้ว ถูกทุกข์ครอบงำแล้ว แม้ไฉนการกระทำซึ่งที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏ นี่เป็นความตั้งใจของการที่จะอุปสมบท

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็กุลบุตรผู้บวชแล้วอย่างนี้เป็นผู้มีอภิชฌามาก มีความกำหนัดอันแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจชั่วร้าย มีสติหลงลืม ไม่รู้สึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ เรากล่าวบุคคลนี้ว่า มีอุปมาเหมือนดุ้นฟืนในที่เผาผีที่ไฟติดทั่วแล้วทั้งสองข้าง ตรงกลางเปื้อนคูถ จะใช้ประโยชน์เป็นฟืนในบ้าน ในป่า ก็ไม่สำเร็จ ฉะนั้น บุคคลนี้เสื่อมแล้วจากโภคะแห่งคฤหัสถ์ และไม่ยังผลแห่งความเป็นสมณะให้บริบูรณ์ได้ ฯ

ทรงอุปมาให้เห็นโทษจริงๆ ของการที่เมื่อบวชแล้วก็ไม่อบรมเจริญปัญญา เป็นผู้ที่มีสติหลงลืม มีจิตพยาบาท มีอภิชฌามากว่า เหมือนดุ้นฟืนในที่เผาผีที่ไฟติดทั่วแล้วทั้งสองข้าง ตรงกลางเปื้อนคูถ เพราะฉะนั้น จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นฟืนในบ้าน ในป่า ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นย่อมเสื่อมแล้วทั้ง ๒ ทาง คือ เสื่อมแล้วจากโภคะแห่งคฤหัสถ์และไม่ยังผลแห่งความเป็นสมณะให้บริบูรณ์ได้ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า บุคคลผู้มีส่วนชั่ว เสื่อมแล้วจากโภคะแห่งคฤหัสถ์ ย่อมขจัดผลแห่งความเป็นสมณะให้กระจัดกระจายไป เหมือนดุ้นฟืนในที่เผาผีฉิบหายไปอยู่ ฉะนั้น ก้อนเหล็กร้อนเปรียบด้วยเปลวไฟ อันบุคคลบริโภคแล้ว ยังจะดีกว่าบุคคลผู้ทุศีล ผู้ไม่สำรวม พึงบริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นจะดีอะไร

จบสูตรที่ ๒

ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ที่จะดับกิเลสได้จริงๆ นี้ ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงโอวาท ทรงเทศนาทุกประการ ที่จะเกื้อกูลให้เป็นผู้ที่ไม่หลงลืมสติ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 7 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Boonyavee
วันที่ 7 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 8 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 9 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ