จิตไม่เศร้าหมองและไม่ผ่องใส
ผมได้ยินมาว่า เวลาใกล้ตายหรือตายแล้ว จิตไม่เศร้าหมองและก็ไม่ผ่องใส จะยังไปเกิดไม่ได้ ต้องไปที่ยมโลกได้รับการตัดสินจากยมบาลก่อน เช่น ถ้าถามว่าทำความดีอะไรมาบ้าง ถ้าตอบไม่ได้ ความชั่วก็จะปรากฏมาก็จะไปอบาย ขอเรียนถามว่า เหตุการณ์แบบนี้เป็นไปได้หรือครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ได้หมายความว่า เมื่อบุคคลจะต้องไปนรกแล้วจะต้องได้พบพญายมเหมือนในหนังทุกคนครับ ผู้ใดก็ตามที่ทำกรรมหนัก ย่อมตกนรกทันที ย่อมไม่ได้การวินิจฉัย พบยมทูต หรือ พญายมเพื่อที่จะได้ระลึกถึงคุณความดี อันอาจจะทำให้พ้นในนรกครับ เปรียบเหมือน โจรที่ขโมยของ ถ้าโจรถูกจับพร้อมของกลาง กำลังขโมยก็ถูกลงโทษทันที ตกนรกทันทีสำหรับผู้ทำบาปหนัก แต่ผู้ที่ทำบาปนิดหน่อย หรือโจรผู้ที่กระทำการขโมย แต่ความผิดไม่ร้ายแรงหรือไม่แจ้งชัด ย่อมได้รับการวินิจฉัย เข้าสู่ศาลได้ ฉันใด ผู้ทำบาปนิดหน่อยเท่านั้นที่จะได้พบยมทูตหรือพญายมครับ เพื่อจะได้วินิจฉัย และ พญายมจะถามเขาว่าตอนยังมีชีวิตอยู่ได้เห็นเทวทูตทั้ง ๕ คือ เด็กที่เกิดใหม่ คนแก่ คนเจ็บ คนที่ถูกลงโทษจองจำ และคนตาย หรือไม่ เมื่อเขาตอบว่าเห็นพญายมจะถามเตือนสติต่อไปว่า ตัวท่านนั้นก็มีสติดี เป็นผู้ใหญ่แล้วเคยคิดบ้างไหม ว่าตนเองก็ต้องมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ การถูกลงโทษเมื่อทำความชั่ว และมีความตายเป็นธรรมดา ควรที่จะทำความดีทาง กาย วาจา และใจ เมื่อเขาตอบว่าไม่ได้คิดเพราะมัวประมาทอยู่ พญายมจึงกล่าวกับเขาว่า
"ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน ไม่ใช่บิดาทำให้ท่านไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่านตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้"
เมื่อสัตว์นั้นผู้ทำบาปนิดหน่อยแต่ระลึกถึงกรรมที่ทำไม่ได้และไม่ได้ทำกรรมดีไว้ ก็ต้องไปตกนรก หลังจากพญายมได้พยายามให้ระลึกถึงความดีแล้ว แต่ชนบางพวกก็สามารถระลึกถึงความดีที่ตัวเองได้ทำมา และก็ระลึกถึงกุศลนั้น ก็ไปเกิดบนสวรรค์ทันทีก็มีครับ
สรุป คือ เมื่อบุคคลไปเกิดในนรก ถ้าทำบาปนิดหน่อย ย่อมได้พบพญายม หรือ ยมทูตเพื่อวินิจฉัยและสอบถามเพื่อให้ระลึกคุณความดี แต่ผู้ที่ทำบาปกรรมหนัก ย่อมตกนรกเสวยผลของกรรมหนักทันที ย่อมไมได้การวินิจฉัย ไมได้พบพญายมครับ และไม่ต้องรอ ๗ วันจะพบพญายมครับ เมื่อจุติจิตเกิดคือตาย ก็ไปเกิดในนรกทันที เพียงชั่วขณะจิตเดียวที่รวดเร็วมากครับ ก็ไปเกิดในนรกทันทีและพบพญายมทันทีสำหรับผู้ที่ทำบาปมานิดหน่อยครับ
ซึ่งในความเป็นจริง เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ควรเจริญกุศลทุกๆ ประการ หมั่นกระทำความดี และเว้นความชั่วตามกำลังของปัญญา และที่สำคัญที่สุด ควรเจริญอบรมปัญญา ในพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อถึงความดับทุกข์ที่แท้จริง พ้นจากการเกิดในนรกอันเผ็ดร้อนได้ครับ ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎกตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า พญายม ยมทูตเมื่อเห็นสัตว์นรกต้องได้รับเสวยผลของกรรมที่ทรมานเช่นนี้ ท่านจึงพิจารณาและคิดว่าขอให้เราได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรม อบรมปัญญา บรรลุธรรม เพื่อที่จะได้พ้นจากทุกข์เห็นปานนี้ของสัตว์ทั้งหลายเถิด เห็นไหมครับว่า พญายมยังปรารถนาในสิ่งที่ดี ที่ประเสริฐที่เราๆ ท่านๆ ก็กำลังอบรมกันอยู่ จึงไม่ควรประมาทเลย และพยายามทำที่พึ่งของตนด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาและในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
เรื่องความคิดของพญายม
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 151
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีแล้ว ความปริวิตกนี้ได้มีแก่พญายมว่า ได้ยินว่า ชนเหล่าใดทำกรรมทั้งหลายที่เป็นบาปในโลก ชนเหล่านั้นย่อมถูกทำกรรมกรต่างๆ เช่นอย่างนี้ เจ้าประคุณ ขอให้ข้า ฯ ได้เป็นมนุษย์เถิด กับขอพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พึงบังเกิดในโลก ขอให้ข้า ฯ ได้เข้าใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นพึงทรงแสดงธรรมและขอให้ข้า ฯ พึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเถิด
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตาย หมายถึง อะไร? การตายของสัตว์โลก คือ จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ในภพนี้ชาตินี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำกิจสืบต่อความเป็นบุคคลใหม่ สืบต่อทันที (สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส) เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที แต่จะไปเกิดเป็นอะไร และ ที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว กล่าวคือ ผู้ทำกรรมดี เมื่อตายไป กรรมดีให้ผลย่อมเกิดในสุคติภูมิ ได้แก่ ภูมิมนุษย์ ภูมิสวรรค์ ตามควรแก่เหตุ (คือกรรม) ในทางตรงกันข้ามผู้ทำกรรมชั่วไว้ (ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคล)
เมื่อกรรมชั่วนั้นให้ผลย่อมเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และ สัตว์เดรัจฉาน ถ้าเป็นสัตว์นรก โดยเป็นสัตว์นรกที่ในอดีตได้กระทำบาปไว้มาก ก็จะไม่ได้พบกับพญายมที่คอยกล่าวเตือนด้วยเทวทูต ๕ ประการ คือ คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนถูกลงโทษ และ คนตาย เพื่อเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงความดี เพราะต้องได้รับการลงโทษในนรกทันที ตามสมควรแก่บาปกรรมที่ได้กระทำแล้ว แต่ถ้าเป็นสัตว์นรกที่กระทำบาปเพียงนิดหน่อย ก็จะได้พบกับพญายมและได้รับการเตือนด้วยเทวทูต ดังกล่าว เพื่อประโยชน์แก่การระลึกถึงกุศลที่ตนเองได้เคยกระทำแล้ว ถ้าระลึกได้ ย่อมเป็นการดี กุศลจิตเกิด ก็ทำให้พ้นจากการเกิดเป็นสัตว์นรก แต่ถ้าระลึกไม่ได้ ก็ย่อมเป็นไปตามกรรมจริงๆ คือ เป็นสัตว์นรก ได้รับผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ต่อไป
สำหรับผู้ที่มีกิเลสอยู่นั้น ตายแล้ว เกิดทันที เกิดแน่นอนสังสารวัฏฏ์ก็ยังดำเนินต่อไป มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป เกิดขึ้นเป็นไป อย่างไม่ขาดสาย ส่วนผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว (ตาย) ย่อมไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ในขณะนี้ ทุกคน ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในที่สุดแล้ว ก็จะต้องตายด้วยกันทั้งนั้นไหนๆ ก็ต้องตายอยู่แล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะได้ประพฤติตนเป็นคนดี (เป็นคนดียิ่งขึ้น) ตั้งอยู่ในกุศลธรรมและฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ต่อไป จึงจะเป็นผู้มีชีวิตไม่ว่างเปล่าจากประโยชน์ในชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ได้เป็นคนดี และ ได้สะสมปัญญาจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...