การจัดงานศพกรณีของคณะวิทยากรบ้านธัมมะ
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ... ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรนะครับที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา แต่ก็อดสงสัยไม่ได้และถ้าไม่ได้ถามก็คงจะคลางแคลงใจสุดๆ เลยทีเดียว คือ ทางบ้านธัมมะเนี่ย (เน้นหลักๆ ที่คณะวิทยากรทุกท่าน อ.สุจินต์ อ.คำปั่น และท่านอื่นๆ) ไม่เชื่อการบวช/นักบวชที่ไม่ประพฤติตามพระวินัยและไม่ส่งเสริมให้บวชโดยไม่ถูกต้องด้วย เพราะมีแต่จะทำให้เกิดโทษหนักต่อผู้บวช เลยทำให้ผมคิดย้อนกลับว่า เอ ถ้าอย่างนั้นเกิดพวกท่านคณะวิทยากรบ้านธัมมะเสียชีวิตลงเนี่ยะ (ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม) การจัดงานศพจะเป็นไปในรูปแบบไหน หรือครับ
เพราะการจัดงานศพของคนไทยเราทุกวันนี้ที่นับถือศาสนาพุทธเนี่ยคือ นำศพเข้าวัด นิมนต์พระตั้งสวดศพ (จะกี่วัน/นานแค่ไหนก็แล้วแต่) แล้วก็ฌาปนกิจศพ บรรจุอัฐิ/ลอยอังคาร แต่กรณีของพวกท่านเนี่ยะจะทำยังไงกับศพเหรอครับ จะดำเนินการจัดการอย่างไรถ้าไม่พึ่งพระ+สวดศพที่วัดครับ
แต่ก็ต้องขอโทษทุกท่านด้วยนะครับที่หัวข้ออาจจะดูแรงไปนิดหนึ่ง ที่ตั้งหัวข้อนี้เพราะอยากทราบจริงๆ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอนำความคิดเห็น คำแนะนำจากสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ท่านหนึ่ง ที่ดูรายการบ้านธัมมะ และเห็นด้วยกับการที่ไม่ควรให้พระภิกษุมายุ่งเกี่ยวกับการฌาปนกิจ ได้เสนอความคิดที่เหมาะสมขึ้นมา มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาอนุญาตให้นำความคิดเห็นเหล่านี้มาเผยแพร่ เพื่อประโยชน์ให้สหายธรรมและท่านอื่นๆ ได้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมโดยที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับพระภิกษุ ซึ่ง กระผมได้บริจาคร่างกาย และ รวมถึงวิทยากรหลายๆ ท่านเช่นกัน และ การฌานปนกิจ ก็จะทำในสิ่งที่เหมาะสม ตามความคิดเห็นข้างล่างดังนี้
กราบเรียนท่านอาจารย์ (สุจินต์ บริหารวนเขตต์) ด้วยความเคารพ
เรื่อง ประเด็นสวดพระอภิธรรม (สนทนาธรรมวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๙)
จากหัวข้อสนทนาสวดพระอภิธรรมในงานศพ เมื่อวันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๙
ดิฉัน ได้หาข้อมูลของฌาปนสถาน (ที่เผาศพ) หลายๆ แห่ง เพื่อเป็นทางเลือกของตัวเองและเพื่อนๆ ที่ควรจะได้รับรู้ไว้พิจารณาก่อนถึงวันใช้จริง โดยเอาความคิดตามการสะสมของดิฉันเป็นโจทย์แทนก่อนค่ะ (ขออนุญาต)
-เป็นการเผาศพด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก ตามความเป็นจริง จากการได้ศึกษาพระธรรมตามพุทธวิถี (ทางของพระพุทธเจ้า) ไม่ใช่พิธีสงฆ์ใดๆ ทั้งสิ้น
-เป็นภารกิจที่กระชับ เรียบง่าย ไม่สิ้นเปลือง ลดการเบียดเบียนผู้อื่นโดยไม่จำเป็น
-เมื่อหมู่ญาติมาพร้อมเพรียงกันแล้ว แสดงความอาลัยครั้งสุดท้ายในร่างนี้ ด้วยความเข้าใจในความเป็นไปของธรรมทั้งหลาย แสดงถึงความจริง ที่เราควรเป็นมิตร มีเมตตาต่อกันในทุกโอกาส เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าความเสียใจ เศร้าโศก เมื่อตายจากกัน เพราะหมดสิ้นการรับรู้ใดๆ ในชาตินี้แล้ว
-นำศพขึ้นเผา
-เมื่อเผาเสร็จแล้ว เก็บกระดูกใส่หม้อดิน (ละลายน้ำได้ค่ะ) นำไปลอยน้ำ เสร็จแล้วค่ะ
ดิฉันได้โทรไปติดต่อสอบถาม แต่ที่เลือกจะกราบเรียนท่านอาจารย์ คือ
ฌาปนสถาน กองทัพเรือ ที่ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ โทร. ๐๒๔๗๕๖๑๖๒ ๐๒๔๗๕๓๒๑๙ ๐๒๔๖๕๑๐๑๓
ได้สนทนากับหัวหน้าฌาปนสถานกองทัพเรือ นาวาโท มานะ สกุลพิทักษ์ เล่าความประสงค์ในการจัดงานศพของตัวเอง (ในอนาคต) ตามที่กล่าวข้างต้น ได้รับความเข้าใจเป็นอย่างดี พร้อมให้เบอร์โทรส่วนตัว ๐๘๙๘๙๓๖๙๑๒ เมื่อมีข้อสอบถามอะไรเพิ่มเติมค่ะ (ดิฉันถามเผื่อเพื่อนๆ ด้วยค่ะ) และได้สนทนากับเจ้าหน้าที่ พันจ่าเอกสมัย เกี่ยบกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น (มีรายการดังแนบท้ายต่อไปค่ะ)
ดิฉันจึงตั้งใจกราบเรียนรายงาน ส่งการบ้านที่เกิดจากการฟังพระธรรมวินัย ส่งท่านอาจารย์ค่ะ
กราบท่านอาจารย์
หนู จุ๋มจิ๋ม
(ฉัฏพร เอกชัยธวัช)
สมาชิกรมชมบ้านธัมมะ มศพ. เลขที่ ๒๙๘๒
วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๙
ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการทำฌาปนกิจ มีดังนี้
ค่าเตาเผา ๓,๕๐๐ บาท
ค่าศาลาที่พักศพเตรียมเผา ๒,๐๐๐ บาท
ค่าแรงเจ้าหน้าที่ ๑,๐๐๐ บาท
ค่าแปรธาตุเก็บกระดูก ๒๐๐ บาท
ค่าหม้อใส่เก็บกระดูก ๔๕๐ บาท
ค่าบำรุงสถานที่ ๓๐๐ บาท
รวมเป็นเงิน ๗,๔๕๐ บาท
ปล. เป็นค่าใช้จ่ายโดยประมาณการค่ะ แต่รวมๆ ก็ไม่น่าเกิน ๑๐,๐๐๐ บาท คุณพันจ่าเอกสมัย บอกค่ะ ถามเขาว่า มีใครทำแบบนี้บ้างไหม เขาตอบว่า ยังไม่มีนะ แต่เขาเข้าใจ ค่ะ
ขออนุโมทนากับผู้ถาม กับอาจารย์ paderm และผู้หาข้อมูลด้วยนะคะ เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ -หน้า๓๘๘
"ไม่นานหนอ กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน กายนี้มีวิญญาณไปปราศ อันบุคคลทิ้งแล้ว ราวกับท่อนไม้ ไม่มีประโยชน์ฉะนั้น"
ชีวิตของบุคคลผู้ที่มาในโลกนี้ ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ เกิดเป็นบุคคลในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป (ตราบใดที่ยังมีกิเลส) ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ผู้ที่เป็นญาติหรือบุคคลรอบข้างก็นำศพอันปราศจากจิต ไปเผาหรือทำฌาปนกิจ (ทำกิจคือการเผา) ซึ่งไม่มีผลต่อการเกิดในภพใหม่ของผู้นั้น บางท่านก็นำอังคาร คือ เถ้าที่เกิดจากการเผาศพ ไปลอยที่แม่น้ำ ก็ไม่มีผลต่อการเกิดในภพใหม่ของผู้นั้นเลย เพราะตายแล้วเกิดทันที และไปตามกรรมของตนเอง ถ้ากรรมดีให้ผลก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้ากรรมชั่วให้ผลก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ ถ้ามีความมั่นคงในความจริงนี้ ก็เบาสบายด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง และที่สำคัญ สิ่งใดที่เคยทำสืบๆ ต่อกันมาด้วยความไม่รู้ ก็สามารถละทิ้งได้เลย เช่น การนิมนต์พระภิกษุมาสวดพระอภิธรรมเมื่อมีผู้ละจากโลกนี้ไป แล้วถวายเงินแก่พระภิกษุ เป็นต้น เพราะถ้าทำอย่างนี้ ผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่สามารถอนุโมทนาได้ เพราะพระภิกษุที่มานั้น ทำผิดพระวินัย เป็นผู้ทุศีล แต่ควรทำสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้
ที่น่าพิจารณาคือ ตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น แทนที่จะไปคิดเรื่องอื่น ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่าก่อนที่วันสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้จะมาถึง ควรจะทำอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงามเป็นประโยชน์ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด นั่นก็คือ ทำความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดี ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เพราะอกุศลธรรม พึ่งไม่ได้เลย สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้นั้น ต้องเป็นธรรมฝ่ายดีเท่านั้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก [ปัญญา] ครับ
ขอเชิญคลิกชมวีดีโอสนทนาในประเด็นดังกล่าว เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
บ้านธัมมะ ๑๐๓ _ ประเด็นสวดพระอภิธรรม
บ้านธัมมะ ๓๐ _ ลอยอังคารกับความเข้าใจที่ถูกต้อง
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เคยได้ฟังอ.สุจินต์ถามผู้ร่วมสนทนาว่า นิมนต์พระมาสวดอภิธรรมให้ใครฟัง เพราะในความจริง ผู้ตายก็ไม่ได้ยินแล้ว หรือแขกที่ที่มาร่วมงานก็ฟังการสวดมนต์นั้นไม่เข้าใจอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ทำผมเข้าใจความเห็นถูกของผู้มีปัญญาคืออ.สุจินต์มากขึ้น
กราบขอบคุณและอนุโมทนาครับ
สาธุ : ถ้าทำตามหลักของพระพุทธศาสนาจริงๆ ก็ไม่ต้องมีพิธีกรรมอะไรมาก
ส่วนตัว คิดว่าถ้าตัวเองสิ้นชีวิตไปก็จะไม่จัดสวด ไม่ต้องมีพิธีอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ได้คิดอยากได้บุญได้กุศลอะไรอีก ร่างกายนี้ก็ชั่วคราวในชาตินี้ ไม่ขอยึดติด ไม่ต้องยุ่งยาก ให้เป็นภาระกับใครมาก
แต่ถ้าซากนี้พอจะเป็นประโยชน์บ้าง ก็คือ ตัดสินใจบริจาคร่างให้ รพ.ไปเป็นอาจารย์ใหญ่ เรียบร้อยนานแล้ว ตอนนี้ก็รอตายจริงอย่างเดียวครับ เมื่อไรเมื่อนั้น
สิ่งที่ "ถูกต้อง" บางที ก็ทำยาก ในสังคมที่ "เห็นผิด" จนเป็นปกติ ครับ จึงอยู่ที่ว่า เราจะกล้า หรือ ไม่ เท่านั้นเองครับ
ขออนุโมทนาต่อ ความตั้งใจจริงของทุกท่าน ที่ "จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด" ครับ
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ข้อมูล ได้รับความรู้หลายอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อนมากเลยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ เพราะคิดจะทำเช่นนี้เหมือนกันค่ะ