การบรรลุธรรมของพระโสดาบัน

 
ฉีฟ่งจื้อ
วันที่  11 ม.ค. 2560
หมายเลข  28521
อ่าน  1,626

เรียน ท่านวิทยากร

การบรรลุธรรมขั้นโสดาบันของคฤหัส ที่ว่าละตัวตนได้แต่ก็ยังละราคะยังไม่ได้ ขอให้ท่านช่วยแยกด้วยว่าละความเห็นผิดว่ามีตัวตนกับละราคะต่างกันอย่างไร และทำไมพระโสดาบันยังมีราคะอยู่ก็ในเมื่อละตัวตนได้แล้วก็ไม่น่าเกี่ยวข้องกับกามราคะ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อท่านละความเป็นตัวตน จิตใจท่านก็น่าจะเห็นกามเป็นของน่าเบื่อไม่น่าข้องในกาม เช่นการอยู่ครองเรือนเป็นต้น ผู้ที่เป็นพระโสดาบันได้รู้แจ้งแทงตลอดถึงญาณที่ ๑๓ จิตใจท่านน่าจะสงบไม่ข้องแวะในกาม อันนี้ผมสงสัยมาก ส่วนภิกษุถ้าบรรลุโสดาบันไม่สงสัยครับ

รบกวนท่านช่วยคลายความสงสัยด้วยครับ

ขอบพระคุณมาก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 ม.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นก็เข้าใจ ความเป็นเรา ๓ ประการ ก็สามารถอธิบายได้ดังนี้ ครับ มีเรานั้น ก็มีด้วย อำนาจสภาพธรรม ๓ อย่าง คือ ตัณหา ที่เป็นโลภเจตสิก มานะ และ ทิฏฐิ ที่เป็นความเห็นผิด

ตัณหา เป็นความติดข้องต้องการ (โลภเจตสิก) เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นสภาพธรรมติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด

มานะ เป็นความสำคัญตน เป็นความทะนงตน ถือตน มีการเปรียบเทียบกับผู้อื่นว่าดีกว่าเขา เสมอเขา หรือ เลวกว่าเขา

ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ความเป็นไปของปุถุชนผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสนั้น ย่อมยึดถือขันธ์ห้าว่าเป็นเราด้วยอำนาจตัณหา คือ โลภะบ้าง มานะความถือตัวบ้าง ทิฏฐิ ความเห็นผิดบ้าง เพราะยังไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน

ซึ่งขออธิบายความเป็นเรา ๓ อย่าง ดังนี้ ครับ

ความเป็นเราด้วยตัณหา หรือ โลภะ ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้เห็น เห็นบุคคลอื่นแล้วเกิดความติดข้อง ขณะนั้น เป็นเรา หรือ เป็นเขาด้วยความติดข้องหรือ ขณะเห็นตนเองในกระจก เกิดความยินดีพอใจ ในรูปร่างกายของตนเอง ขณะนั้นมีเราแล้ว แต่มีเราด้วยความติดข้องในความเป็นเราในขณะนั้น และแม้อยากเกิดเป็นเทวดา เกิดในภพภูมิที่ดีก็เป็นเราด้วยตัณหาแต่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด เพราะเพียงยินดีพอใจในภพูมิแต่ไม่ได้มีความเห็นผิดเกิดขึ้นมา

ความเป็นเราด้วยมานะ คือ ขณะใดที่เปรียบเทียบ ว่าเราสูงกว่าเขา เสมอคนอื่น หรือด้อยกว่าคนอื่น จะเห็นนะครับว่า มานะ เป็นการเปรียบเทียบ แล้วอะไรจะเปรียบเทียบนอกจากว่า จะต้องมีเราที่ไปเปรียบเทียบ มีเขา มีคนอื่นดังนั้น เพราะเป็นอกุศลที่คิดว่าเราสูงกว่า มีเราแล้ว แต่เป็นเราด้วยมานะที่เป็นการเปรียบเทียบ ครับ

ความเป็นเราด้วยทิฏฐิ คือ เป็นเราด้วยความสำคัญผิดที่เป็นความเห็นผิดคือ ขณะนั้นเป็นอกุศลที่เป็นโลภะที่ประกอบด้วยความเห็นผิด เช่น ยึดถือว่า ดอกไม้มีจริง เที่ยงยั่งยืนและยึดถือว่ามีเราจริงๆ มีสัตว์ บุคคลจริงๆ ขณะนั้นมีเรา มีเขา มีสิ่งต่างๆ ด้วยความเห็นผิด เพราะยึดถือด้วยความเห็นผิดว่าเที่ยง เป็นสุขและเป็นตัวตนจริงๆ ครับ

ดังนั้น พระโสดาบัน ไม่มีความเป็นเราด้วยความเห็นผิด ที่ยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ แต่ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ติดข้อง เพราะ รู้ว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม แต่ ก็ติดข้องในธรรมนั้น คือ ในสิ่งที่ปรากฏ ในอารมณ์ที่ดี ได้ เช่น นางวิสาขา ก็ยินดีในเครื่องประดับ ยังครองเรือน หลานสาวตาย ก็ร้องไห้ เพราะติดข้องในหลานสาว ในความเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ได้สำคัญผิดว่า มีสัตว์ บุคคลจริงๆ รู้ว่าเป็นธรรม แต่ ก็ติดข้องในธรรม นั้นนั่นเองครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 12 ม.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้น เพราะผู้ที่ดับกิเลสได้หมดสิ้นต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น, พระโสดาบันยังมีความรัก ความติดข้อง ยังมีความขุ่นเคืองใจ ยังมีอวิชชา แต่จะไม่มีกำลังถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรม เพราะท่านดับกิเลสอย่างหยาบได้แล้ว ดังนั้นพระโสดาบัน ยังมีภรรยา มีสามี ตามการสะสมของท่าน แต่ท่านจะไม่มีความเห็นผิดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าสภาพธรรมใดจะเกิดปรากฏก็ตาม ซึ่งก็คือ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นขันธ์แต่ละขันธ์ นั่นเอง และก็ต้องเข้าใจต่อไปว่า ผู้ที่จะดับความติดข้องยินดีพอใจในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ นั้น ต้องถึงความเป็นพระอนาคามี

ที่จะเป็นประโยชน์ในเบื้องต้น คือ ทุกขณะมีแต่ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน กล่าวได้ว่า ไม่มีตัวเราแทรกอยู่ในจิต เจตสิก และรูปเลย มีแต่ธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ซึ่งจะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมยิ่งขึ้น ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สิริพรรณ
วันที่ 13 ม.ค. 2560

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรมากค่ะ

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ และขออนุโมทนากับผู้ตั้งคำถามด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 13 ม.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วิริยะ
วันที่ 14 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
2491surin
วันที่ 15 ม.ค. 2560

ครับ ทุกขณะมีแต่ธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไปตามเหตุตามปัจจัยตามการสะสมในแต่ละอย่างจริงๆ ครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
rrebs10576
วันที่ 15 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 17 ม.ค. 2560

ผู้ที่ไม่ติดข้องในกามคุณคือผูู้ที่บรรลุเป็นพระอนาคามี ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ มีอุบาสกคนหนึ่งท่านมีภรรยา วันหนึ่งท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามีท่านก็ได้ยกภรรยาของท่านให้กับชายอื่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ