พระวินัย
เรียน ท่านวิทยากร
ทุกวันนี้มีภิกษุที่กระทำผิดวินัยด้วยการรับเงินมีมากจนยากแก่การแก้ไข ดังที่ได้ทราบกันอยู่ ผมได้เคยโทรศัพท์สอบถามรายการธรรมรายการหนึ่ง ว่าภิกษุรับเงินไม่ได้ผิดพระวินัย ควรจะติเตียน ท่านผู้ดำเนินรายการตอบว่า ภิกษุทำผิดก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ท่านก็รับโทษเอง ไม่ควรติเตียนท่าน ให้ดูที่จิตเราดีกว่า เราดีพอหรือยังที่จะไปติคนอื่น ผมก็ถามว่าเป็นการทำลายศาสนาไหม ท่านก็ตอบว่าคงไม่ถึงขั้นนั้น เป็นเรื่องของภิกษุเท่านั้น
จึงขอเรียนถามท่านวิทยากรว่า ที่ว่าเป็นการทำลายพุทธศาสนาทำลายอย่างไร เพระในสมัยพุทธกาลมีภิกษุที่ละเมิดพระวินัยก็มากไม่ว่าจะเป็นรับเงินทอง จนพระพุทธองค์ต้องปรับอาบัติ
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การที่พระภิกษุยินดีและรับเงินและทอง โดยไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ และ ภิกษุที่รับเงินและทอง ก็ยังมีการกล่าวว่าสมัยเปลี่ยนไป สามารถรับได้ ไม่ผิด สิกขาบทเล็กน้อย ยกเลิกได้ การที่ภิกษุรับเงินและทองโดยมาก ในสมัยปัจุบัน และ ไม่ใช่ เพียงรับ เท่านั้น ยังกล่าวว่าไม่เป็นไร ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา นั่นคือ ทำลายพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่บัญญัติไว้ดีแล้ว พระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อบิดเบือนคำสอน จากการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และ พุทธบริษัท สมัยนี้ ไม่เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา โดยธรรม กล่าวธรรมที่ถูก ก็ทำให้ พระภิกษุกระทำสิ่งผิด และ เผยแพร่สิ่งที่ผิด ชักชวน พุทธบริษัท ไปในทางผิด หาเงินหาทองเข้าวัด เข้าตัวเอง ด้วยวิธีต่างๆ อันเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไม่รับเงินและทอง รับเงินและทองไม่ได้ เป็นผู้ปราศจากเงินและทองอย่างสิ้นเชิง เพราะท่านเหล่านั้น ต้องสละทรัพย์สินเงินทองก่อนบวชแล้ว ดังนั้น เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว จึงรับเงินและทองไม่ได้ เงินทองไม่ควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง ไม่มีพระพุทธดำรัสแม้แต่คำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสให้พระภิกษุรับ
เงินและทองหรือไปแสวงหาเงินและทอง ตามข้อความจาก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒
มณิจูฬกสูตร
“ทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณศากยบุตร ห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน ... เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายอะไรเลย”
พระภิกษุ คือ เพศที่สูงกว่าคฤหัสถ์ เป็นเพศที่ขัดเกลากิเลสเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้เว้นโดยทั่ว ได้แก่ เว้นจากกิเลส เว้นจากความติดข้องยินดีพอใจในกาม จะเห็นได้ว่าผู้ที่ออกบวชเป็นบรรพชิตนั้น ต้องสละทุกสิ่งทุกอย่าง คือ สละอาคารบ้านเรือน สละทรัพย์สมบัติ สละวงศาคณาญาติ บวชเป็นบรรพชิตเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองจริงๆ ท่านสละอาคารบ้านเรือนแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่มีเรือน รวมถึงสละทรัพย์สมบัติทั้งปวงด้วยไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง เป็นต้น เมื่อสละสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ไม่ควรรับสิ่งเหล่านี้ ไม่ควรมีสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง
พระภิกษุรับเงินทองผิดพระวินัย แล้วยังบอกผู้อื่นว่าพระภิกษุรับเงินได้ด้วยเหตุผลต่างๆ ซึ่งไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย จึงเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...