สุขคือทุกข์น้อย สุขมีจริงไหม

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  19 ม.ค. 2560
หมายเลข  28545
อ่าน  2,671

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์ ต้องเกิด แล้วต้องดับไป ทุกข์โทมนัสสุขโสมนัส แม้อุเบกขาเวทนา ก็ต้องเกิดขึ้นต้องดับไป ประการนี้เป็นสามัญลักษณะ

# เป็นคำจริงไหมคะ ที่ว่า สุขคือทุกข์น้อย มีในพระไตรปิฎกไหมคะ

# เป็นคำจริงไหมคะ ที่ว่า สุขแท้จริง สุขอย่างยิ่งคือนิพพาน

# จะกล่าวใน 31 ภพภูมิ ไม่มีความสุข เพราะ เกิดแล้วดับ ก็ไม่น่าจะถูกต้องเสียทีเดียว ใช่ไหมคะ เพราะสุขเวทนาก็มีจริงเมื่อปรากฏ

# ขอคำจริงอันสว่างกระจ่างชัดด้วยค่ะ สุขคืออะไร ทุกข์คืออะไร สุขทุกข์มีจริงไหม

ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 ม.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความสุข เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา เป็นเวทนาเจตสิก แบ่งออกเป็น

สุขกาย (สุขเวทนา) เป็นผลของกุศลกรรม

สุขใจ (โสมนัสเวทนา) เกิดพร้อมกับอกุศลจิต หรือกุศลจิต ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นปุถุชน สุขใจเพราะอกุศล คือ "โลภะ" ครับ

ความสุข มีสภาพเป็นทุกข์ด้วย เมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ดับนั้น ไม่มี สุขกาย เป็นกุศลวิบาก เกิดแล้วก็ดับไป แต่สุขใจจากอกุศลที่พอใจในสุขกายที่ดับแล้ว เป็นสิ่งที่ลวงหลอกเรา ประเล้าประโลมให้เราฟูใจ จนลืมไปว่าเป็นสภาพธรรมะหนึ่งๆ เช่นกัน พอไม่ได้อย่างที่เคยได้อีกก็เป็นเหตุให้ต้องทุกข์ใจภายหลัง

ฉะนั้น การยึดความสุข หวังในความสุข ย่อมเป็นทุกข์ เพราะธรรมะที่ดับไปแล้ว ไม่หวนกลับมาเกิดซ้ำได้อีก หมดแล้วก็หมดเลย ขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์จริงๆ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ความสุขย่อมมีแก่ผู้นั้นหนอ ผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว เป็นพหูสูต ท่านจงดูบุคคล ผู้มีกิเลสเครื่องกังวลเดือดร้อนอยู่ ชนผู้ปฏิพัทธ์ในชนย่อมเดือดร้อน

ปฐมรูปารามสูตร

พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรม ทั้งสิ้น อันน่าปรารถนา น่าใคร่และน่าพอใจ ที่กล่าวกันว่ามีอยู่ประมาณเท่าใด รูปารมณ์เป็นต้นเหล่านั้นนั่นแล เป็นสิ่งอันชาวโลกพร้อม ทั้งเทวโลก สมมติว่าเป็นสุข

ถ้าว่า รูปารมณ์ เป็นต้น เหล่านั้นดับไปในที่ใด ที่นั้น เทวดา และมนุษย์ เหล่านั้น สมมติว่าเป็นทุกข์ ส่วนว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นการดับสักกายะ (รูปารมณ์เป็นต้นที่บุคคลถือว่าเป็นของตน) ว่าเป็นสุข

การเห็นของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้เห็นอยู่นี้ ย่อมเป็นข้าศึกกับชาวโลกทั้งปวง บุคคลเหล่าอื่น กล่าวสิ่งใดว่าเป็นสุข พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวสิ่งนั้นว่าเป็นทุกข์ บุคคลเหล่าอื่น กล่าวสิ่งใดว่า เป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้แจ้งสิ่งนั้นว่าเป็นสุข

เธอจงเห็นธรรมที่รู้ได้ยาก คนพาลผู้หลงไม่รู้แจ้งในนิพพานนี้ ความมืดย่อมมีแก่บุคคลผู้ถูกนิวรณ์หุ้มห่อ เหมือนความมืดมนย่อมมีแก่บุคคลผู้ไม่เห็น นิพพานย่อมมีแก่สัตบุรุษ เหมือนแสงสว่างย่อมมีแก่บุคคลผู้เห็น

ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ดังนี้

ส. ความสุขที่แท้จริงคืออะไร ทุกคนต้องการความสุขที่แท้จริงหรือเปล่าคะ เพราะเหตุว่าความสุขที่มีแต่ละวันเพียงเล็กน้อย ชั่วขณะที่เมื่อกี้นี้รับประทานอาหารอร่อยก็เป็นความสุข หรือตั้งแต่เช้ามาเห็นดอกไม้สวยๆ ขณะเห็นนั้นก็เป็นความสุขที่เกิดจากการเห็น แต่ว่าเป็นความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า เพราะเป็นความสุขชั่วคราวแต่ละขณะ ก็หมดไปแล้ว เห็นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ มีความสุขไหมคะที่จะได้รับประทาน เห็นไหมคะ มีความสุขที่จะได้รับประทานก็ไม่รู้ แล้วความสุขเล็กน้อยที่จะได้รับประทานก็หมดไป เพราะว่ามีความสุขที่มากกว่านั้นอีก แต่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเห็นได้ว่า มีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ชั่วครั้งชั่วคราวที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป

เพราะฉะนั้น ต้องมีความสุขอื่นเป็นความสุขที่แท้จริง แต่ยังไม่รู้ว่า ความสุขนั้นคืออะไร ก็ไม่สามารถพบความสุขนั้นได้ ต้องรู้จักสิ่งที่มีจริงๆ จึงจะรู้ว่า สิ่งที่ชื่อว่า ความสุขที่มีจริงนั้นคืออะไร

เพราะฉะนั้น ชีวิตก็เต็มไปด้วยความหวัง แต่ความหวังจะเป็นจริงหรือจะสมหวังไหม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ตักอาหารมาแล้ว เกิดอาหารเปรี้ยวไป เป็นอย่างไรคะ หวังว่าอาหารที่เคยรับประทานจะอร่อย แต่พอรสเปลี่ยนไป ไม่ใช่ความสุขแล้ว ไม่สมหวัง แม้แต่เพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถ้าได้เข้าใจความจริง

เพราะฉะนั้น สุขจริงๆ ต้องเป็นสุขที่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี เพราะอะไรคะ เพราะสิ่งนั้นกำลังมี สิ่งอื่นไม่มี เช่น ในขณะที่ได้ยินเสียง เสียงมี ปรากฏเดี๋ยวนี้เอง มีจริงๆ ปรากฏว่ามีชั่วคราว แล้วก็ดับไป ในขณะที่เสียงปรากฏ ไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย แต่หวังหรือเปล่า ไม่สิ้นสุดความหวังเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าอะไรจะกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็คิดถึงสิ่งนั้นด้วยความหวัง อยู่ด้วยความหวัง แต่ไม่เคยเห็นความหวัง และความหวังก็ไม่มีจบ ไม่มีสิ้นสุดเลย แล้วแต่จะหวังเรื่องอะไร

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงแน่นอน เพราะเหตุว่าเพียงหวังแล้วได้ แล้วก็หวังต่อไปอีก เพียงหวังอีก แล้วก็ได้อีก แล้วก็หวังต่อไปอีก จะมีความสุขได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้จักพอ และไม่เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วขณะนั้นเป็นอะไร ไม่มีสิ่งอื่นเลย มีเพียงสิ่งเดียวที่กำลังปรากฏแต่ละทาง ทางตากำลังเห็น ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ขณะนั้นไม่มีอย่างอื่น มีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นกับเห็นเท่านั้นเอง แล้วก็หมดไป ในขณะที่เสียงปรากฏ ความจริงคือเสียงที่ปรากฏกับได้ยินที่ปรากฏแล้วก็หมดไป แต่หวังอะไรจากสิ่งที่เพียงปรากฏ เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้จะเป็นความสุขที่แท้จริงได้ไหมคะ ไม่มีการจบสิ้นความหวัง ยิ่งหวังมาก ยิ่งเป็นทุกข์ เพราะมีความติดข้องด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ หลงเข้าใจว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ยั่งยืน ไม่เกิด ไม่ดับเลย เช่น กำลังมีคนนั่งอยู่ที่นี่ ไม่ปรากฏว่าเกิดดับ เพราะไม่รู้ความจริงว่า แต่ละขณะจิต จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ชีวิตก็เป็นอยู่ชั่วขณะจิตหนึ่งที่เกิดขึ้น ถ้าจิตนั้นดับแล้วไม่เกิดอีกเลย ไม่มีจิตอีกเลย ก็ไม่เป็นเรา หรือเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด ดีไหมคะ ข้อสำคัญที่สุด การรู้ความจริง ไม่ได้หมายความว่า เราจะถึงการประจักษ์แจ้งความจริง เพียงแต่กำลังสะสมความเห็นถูกว่า ความเห็นจริงๆ ในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ความจริงความเห็นถูกคืออย่างไร และความไม่รู้คืออย่างไร

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย ก็จะไม่รู้ แสวงหาความสุขด้วยความหวัง แต่ไม่รู้ความจริงว่า หวังอะไรในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป ทุกอย่างที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะบอกว่า ความสุขที่แท้จริงคือนิพพาน ไกลไหมคะ นิพพานคืออะไร ก็ไม่รู้ เพราะขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ แล้วจะมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้อย่างไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า นิพพานสุข นอกจากจะเข้าใจมั่นคงที่รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน ความจริงก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง คิดดูนะคะ แต่ละอย่าง แยกย่อยออกไปแล้วก็เป็นธรรมะ หรือสิ่งที่มีจริงหลากหลายต่างกันมาก ตาก็ไม่ใช่หู ไม่ใช่คิด ไม่ใช่เสียง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกันก็ทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน เพราะไม่รู้ความจริง

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงด้วยปัญญาที่สามารถเห็นจริงๆ ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นเมื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้ง แล้วรู้ว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดปรากฏแล้วหมดไป สุขไหมคะ เพียงเกิดปรากฏว่า มีสั้นมาก ชั่วคราวจริงๆ แล้วก็ดับไป สุขจริงๆ หรือเปล่า จะเป็นสุขจริงๆ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น สุขที่แท้จริงก็จะเริ่มจากความเห็นถูก ความเข้าใจถูกที่ทำให้ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 19 ม.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เวทนา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความรู้สึก ไม่มีตัวตนที่รู้สึก แต่เป็นกิจหน้าที่ของสภาพธรรม คือ เวทนาเจตสิก นี้เองเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เวทนาเป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดร่วมกับจิตประเภทใด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดร่วมกับจิตเห็น ก็เป็น อทุกขมสุขเวทนา (เฉยๆ) ถ้าเกิดร่วมกับจิตที่มีโลภะเป็นมูล บางครั้งก็เป็นโสมนัสเวทนา บางครั้งก็เป็นอทุกขมสุขเวทนา ถ้าเกิดร่วมกับกุศลจิต บางครั้งก็เป็นโสมนัสเวทนา บางครั้งก็เป็นอทุกขมสุขเวทนา แต่ถ้าเป็นโทมนัสเวทนาซึ่งเป็นความรู้สึกไม่สบายใจ ต้องเกิดร่วมกับอกุศลจิตประเภทที่มีโทสะเป็นมูล โทมนัสเวทนาจะไม่เกิดร่วมกับจิตประเภทอื่นเลย นอกจากโทสมูลจิตเท่านั้น นี้คือสภาพธรรมที่มีจริงประเภทหนึ่ง คือ เวทนา

เวทนา ไม่ว่าจะเป็นเวทนาประเภทใด เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ จึงเป็นทุกข์ เพราะเกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ต้องดับไป และยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ด้วย เมื่อต้องการความรู้สึกที่สบายๆ แล้วไม่ได้ หรือพลัดจากจากความรู้สึกนั้นๆ ก็เป็นทุกข์ ไม่สบายใจ ซึ่งจะเป็นเหตุแห่งทุกข์สำหรับผู้ที่มีกิเลสเท่านั้น เพราะถ้าเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมดแล้ว ถึงความเป็นพระอรหันต์ กิเลสใดๆ ย่อมไม่เกิดขึ้น ไม่มีทุกข์เพราะกิเลสอีกต่อไป แต่ท่านก็ยังมีขันธ์เป็นไป ยังมีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเวทนาเกิดขึ้นเป็นไป เพราะพระอรหันต์ยังมีเวทนาที่เกิดร่วมกับจิต ๒ ชาติ คือ ชาติวิบาก กับ ชาติกิริยา แต่เวทนาที่เกิดร่วมกับกุศลจิต กับ เวทนาที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต ไม่เกิดอีกเลย จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ประสาน
วันที่ 20 ม.ค. 2560

สาธุๆ ๆ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 20 ม.ค. 2560

"การรู้ความจริง ไม่ได้หมายความว่า เราจะถึงการประจักษ์แจ้งความจริง เพียงแต่กำลังสะสมความเห็นถูกว่า ความเห็นจริงๆ ในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ความจริงความเห็นถูกคืออย่างไร และความไม่รู้คืออย่างไร"

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 26 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lertchai
วันที่ 26 ม.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ