ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๘๓

 
khampan.a
วันที่  22 ม.ค. 2560
หมายเลข  28553
อ่าน  1,900

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๘๓



~ สำหรับผู้ที่เห็นโทษของชีวิตของคฤหัสถ์ต้องเป็นปัญญาที่สะสมมาด้วย ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าบวชทำไม แล้วบวชคืออะไร แต่อยากบวช นั่นไม่ใช่ภิกษุตั้งแต่ต้น ภิกษุไม่ใช่เพราะอยากบวชแล้วเป็นภิกษุ แต่เป็นภิกษุเพราะเห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ เห็นโทษของกิเลส และรู้ตามความเป็นจริงว่า สามารถสละทุกสิ่งทุกอย่างในเพศคฤหัสถ์ได้ ดูฟุตบอลไม่ได้ ฟังเพลงไม่ได้ ไปตลาดเข้าห้างสรรพสินค้าซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้

~ คฤหัสถ์ทำดีต่อพระภิกษุ พระภิกษุเห็นคุณความดีของคฤหัสถ์ ก็ทำดี ด้วยการศึกษาพระธรรมและประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย

~ ใครมีอัธยาศัยที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต จึงสมควรบวช

~ คำว่า เป็นพระภิกษุ ก็คือ ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ทั้งกาย วาจา และศึกษาพระธรรมด้วย

~ ภิกษุต้องไม่ใช่คฤหัสถ์ เหมือนกันไม่ได้ บุคคลนั้นปฏิญาณว่าจะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ชาวบ้านจึงได้ใส่บาตรให้มีชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้

~ ถ้าไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตแล้ว ใครกล้าจะบวชบ้าง ต้องตรง ที่บวชเพื่อต้องการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตซึ่งจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพราะฉะนั้น ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ใครกล้าจะบวชบ้าง ถ้าบวชก็ต้องเป็นผู้ตรง

~ คฤหัสถ์ไม่ได้เป็นพระภิกษุ เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ก็เป็นคฤหัสถ์ แต่เป็นคฤหัสถ์ที่ได้ศึกษาพระธรรม และขัดเกลากิเลส ทำความดี และ รู้คุณของพระธรรม

~ ถ้าไม่มีการฟังธรรมไม่เข้าใจธรรม ไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน

~ แต่ละคนมีจิต (แต่ละ) หนึ่งขณะเกิดแล้วดับ จิตหนึ่งขณะนั้น สะอาดแค่ไหน หรือว่าสกปรกเน่าเหม็น ด้วยความไม่รู้ ด้วยเชื้อโรคคือกิเลสมากสุดที่จะเยียวยา ถ้าไม่มียาวิเศษคือพระธรรม จิตนี้ก็จะสะสมความไม่สะอาดต่อไป มากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น โอกาสดีก็คือเห็นคุณค่าของเวลาของการฟังเพื่อที่จะเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าเราไม่รู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ก่อนจากไป ก็ได้ฟังและได้เข้าใจซึ่งสามารถที่จะสะสมสืบต่อชำระจิตขณะนี้ได้บ้างเล็กน้อย พอไปถึงชาติหน้าก็ค่อยๆ ชำระต่อไปอีก จนกว่าจะสะอาด

~ กิเลสทำร้ายผู้ที่มีกิเลสตั้งแต่เริ่มเกิด

~ มีหรือที่ผู้รู้คุณความดีแล้วจะไม่ทำดี

~ อกุศลจิตเกิด (เกือบจะ) ทั้งวัน จะเอาอกุศลไปรู้ความจริงไม่ได้ เพราะความไม่รู้ จึงเป็นอกุศลประเภทต่างๆ เพราะฉะนั้นอกุศลรู้ความจริงไม่ได้ แต่ต้องแทนที่อกุศลจะเกิดก็กุศลจิตเกิดค่อยๆ น้อยลงทางฝ่ายอกุศล และทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น บารมีคือความดีแตะละหนึ่งในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่เกิดขึ้นขณะนั้นก็ไม่ใช่บารมี ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

~ ไม่ได้เป็นหมอ ช่วยคนได้ไหม? ได้ ขอเพียงเป็นคนดี

~ เวลานี้ จิตหนึ่งขณะที่เกิดแล้วดับไปมีทุกอย่างที่ได้สะสมมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น อกุศลจะมากสักแค่ไหน เพราะว่าแม้ชาตินี้กุศลเกิดมากหรืออกุศลเกิดมาก

~ การที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ต้องเป็นความดีและปัญญา ที่สามารถเข้าใจพระธรรมแต่ละคำที่ทรงแสดง ที่เป็นแสงสว่างที่จะทำให้ค่อยๆ เห็นสภาพธรรมขณะนี้ตามความเป็นจริงได้


~ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงโทษของกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต และทรงแสดงคุณของกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต แต่ว่าก็ยังมีผู้กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตอยู่ เพราะอะไร? เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา (ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) ถึงแม้ว่าจะทรงแสดงโทษไว้อีกหลายประการอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่กิเลสที่สะสมมามีกำลังเมื่อไร ก็แสดงความเป็นอนัตตาเมื่อนั้น คือ กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตไปในขณะนั้นเอง

~ ผู้ที่จะดับอกุศลกรรมที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิ ก็ต้องเป็นผู้ที่อบรม เจริญปัญญาบรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เกิดการกระทำด้วยอกุศลจิตทางกาย ทางวาจา ซึ่งจะทำให้ตนเองติเตียนตนเองได้ ถ้าได้กระทำไปแล้วเกิดการระลึกได้ ก็จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลยที่ได้กระทำแล้ว หรือว่า นอกจากนั้นบุคคลอื่นก็ยังติเตียนได้อีกด้วย เพราะเหตุว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม

~ ต้องเป็นคนที่ตรงจึงจะได้สาระจากพระธรรม ถ้าไม่ตรง จะไม่ได้สาระจากพระธรรมแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าพระธรรม ตรงที่สุด ถูก คือ ถูก ผิด คือ ผิด

~ เริ่มผิดตั้งแต่นุ่งขาวห่มขาว มีไหมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสให้นุ่งขาวห่มขาว? ไม่มี แล้วทำอะไร ตามใคร ไม่ได้ตามพระบรมศาสดาผู้ทรงตรัสรู้ ว่า ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนุ่งขาวห่มขาว เพราะติดข้องในการนุ่งขาวห่มขาว ถ้าไม่ติดข้องจะต้องนุ่งขาวห่มขาวไหม? สีอะไรก็ได้ แต่นี่ต้องนุ่งขาวห่มขาว มาจากไหน เรื่องอะไร? มาจากความไม่รู้ จึงไม่รู้ว่าเพราะไม่รู้จึงใส่สีขาว เพราะแท้จริง ใส่สีอะไรก็ได้มิใช่หรือคนที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระวิหารเชตวัน ไม่ใช่ว่าต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนใส่สีขาวมาจึงจะเข้าไปพระวิหารเชตวันได้

~ แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่คำทุกคำที่พระองค์ตรัสไว้ ยังมี แทนพระองค์ พระองค์ได้ตรัสคำเหล่านี้ไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระองค์และเข้าใจ จึงจะชื่อว่าผู้นั้นเริ่มรู้จักพระองค์

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ เป็นไปเพื่อการละ

~ การสะสมทางฝ่ายอกุศลก็ทำให้เป็นไปอย่างหนึ่ง แต่ว่าการสะสมความรู้ถูกความเห็นถูกความเข้าใจถูก ก็สะสมอีกอย่างหนึ่ง เข้าใจถูกต้องว่าอะไรเป็นโทษ และก็ควรสะสมความที่สามารถงดเว้นอดกลั้นที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี

~ การกระทำอกุศลกรรมทั้งหมด เกิดขึ้นจากกิเลส

~ พระธรรมทั้งหมดเพื่อให้เห็นโทษของกิเลส

~ ละความโกรธได้ ประโยชน์ คือ ไม่โกรธ

~ บางคนชอบกิเลส ไม่อยากละ ต้องโกรธ สมควรโกรธ คิดได้อย่างไร? ถ้าเป็นปัญญาจะไม่คิดอย่างนั้นเลย ไม่ใช่สมควรที่จะต้องโกรธ แต่โกรธไม่ควรจะมีเลย เพราะเป็นโทษทั้งสิ้น

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังครั้งเดียวพอไหม? ไม่พอ ก็ต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ

~ คนไม่รู้ ไม่มีทางที่จะเห็นความประเสริฐของปัญญาได้เลย

~ ถ้าปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น ความดีก็เพิ่มขึ้น

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๘๒

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 22 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เจียมจิต
วันที่ 22 ม.ค. 2560

คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเป็นไปเพื่อการละ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เจียมจิต
วันที่ 22 ม.ค. 2560

กราบอนุโมทนา ค่ะ

กราบขอบคุณอย่างสูงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 22 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มกร
วันที่ 22 ม.ค. 2560

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Noparat
วันที่ 23 ม.ค. 2560

~ กิเลสทำร้ายผู้ที่มีกิเลสตั้งแต่เริ่มเกิด

~ มีหรือที่ผู้รู้คุณความดีแล้วจะไม่ทำดี

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 23 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 23 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
j.jim
วันที่ 23 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kullawat
วันที่ 24 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
siraya
วันที่ 24 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
orawan.c
วันที่ 25 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 26 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
p.methanawingmai
วันที่ 27 ม.ค. 2560

สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
kukeart
วันที่ 28 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
เมตตา
วันที่ 30 ม.ค. 2560

ปัญญานำไปในกุศลทั้งปวง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
chatchai.k
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ