งานฌาปนกิจศพ
อยากเรียนถามท่านวิทยากรครับ
ว่าในงานฌาปนกิจศพ เป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ครับ
ถ้าไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่พระภิกษุรับนิมนต์จากคฤหัสถ์เพื่อไปรับถวายภัตตาหารตามงานศพต่างๆ ถืออนุโลมว่าเป็นการไปรับบิณฑบาตตามศรัทธาของชาวบ้านได้ไหมครับ แล้วก็มีการกล่าวธรรม คือบทพระอธิธรรม แม้ผู้ฟังส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นการกล่าวพุทธพจน์ กล่าวคำสอนที่เป็นจริงในขณะนี้ ซึ่งผู้ที่มีปัญญา ที่มางานศพ ก็มี ไม่ใช่ไม่มี ก็สามารถจะเข้าใจ น้อมระลึกได้ว่า ก็ธรรมนั้นมีกุศล มีอกุศล มีอพยกตะ ก็น่าจะสามารถทำให้สติเกิดระลึกสภาพธรรมได้
แล้วถ้าสามารถจัดงานฌาปนกิจ โดยบุคคลไปหยิบยืมสถานที่คือวัด เพราะยุคนี้วัดทั้งหลายมีเมรุเผาศพเป็นของธรรมดาไปเสียแล้ว โดยที่ไม่ได้มีการถวายเงินพระ ไม่ได้มีการยกกิจการจัดงานทั้งหมดให้กับพระเป็นผู้กระทำ แต่ให้บุคคลอื่นที่เป็นคฤหัสถ์เป็นธุระให้ เพียงแต่ หยิบยืมเมรุของวัด และนิมนต์พระภิกษุ เพื่อมาฉันภัตตาหารตามกำลังศรัทธาของครอบครัวผู้ตาย ในงานศพผู้ตาย เท่านั้น ไม่ได้ให้พระภิกษุมาเกี่ยวข้องอะไรกับกิจในการเผาศพ จะควร ไม่ควร ประการใดครับ?
พระธรรมของพระพุทธเจ้า ตรง ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย การอนุโลมไปก็เป็นการอนุโลมตามความคิดของปุถุชน ไม่ได้เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติในสมัยพุทธกาล เพราะฉะนั้น แม้การไปรับภัตตาหาร ในเวลาวิกาล เลยเที่ยง ที่ไม่ใช่เภสัช นั่นก็เป็นการะทำที่ไม่สมควร พระพุทธเจ้าทรงติเตียน
การจัดฌาปนกิจ ไม่มีการทำในวัด อาราม ที่เป็นสถานที่สงบ ที่มายินดี ของผู้สงบ สมัยพุทธกาลไม่มีทำกัน เพราะ มีการกระทำที่ไม่ตรงตามพระธรรม ปัจจุบัน และ ต่อไป ก็มีการจัดงานศพในวัด ไม่เป็นที่มายินดี ในความสงบ ไม่ใช่วัดในพระพุทธศาสนา คฤหัสถ์ โดยมากถวายเงินพระภิกษุ และ พระภิกษุก็ยินดีในเงินและทอง อันเป็นประเพณีที่ผิด
การแสดงธรรม แสดงโดยไม่ต้องมีการจัดงานศพในวัดก็ได้ ในสมัยพุทธกาล เวลาเย็น ชาวบ้านก็มาฟังธรรม โดยไม่มีการเอางานศพเข้ามาเกี่ยวข้อง และ ปัจจุบันก็มีสถานที่ ฌาปนกิจ โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับวัด ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตของบุคคลผู้ที่มาในโลกนี้ ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ เกิดเป็นบุคคลในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไปตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ไปเกิดในภพใหม่ ตามกรรมของตนเอง ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ผู้ที่เป็นญาติหรือบุคคลรอบข้างก็นำศพอันปราศจากจิต ไปเผา หรือทำฌาปนกิจ (ทำกิจคือการเผา) ซึ่งควรเป็นกิจหน้าที่ของคฤหัสถ์ที่จะทำกิจนี้ ผู้ที่เข้าใจความจริง มั่นคงในเหตุผล ก็กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ทำตามๆ กันในสิ่งที่ผิดที่ไม่ได้ทำให้ปัญญาและกุศลธรรมเจริญขึ้น และสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้วคือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ การนิมนต์พระภิกษุเพื่อถวายภัตตาหาร ก็สามารถที่จะกระทำได้ แต่ต้องไม่ถวายในสิ่งที่ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต เช่น เงิน เป็นต้น ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...