สนทนาธรรมที่เวียดนามครั้งที่ 9 (5) อานวิลลา ที่ฮอยอาน
อานวิลลา ที่ฮอยอาน
หลังจากเดินทางจากไซ่ง่อนมาฮอยอานห่างหายการรายงานข่าวไปหลายวัน เพราะเจอละอองฝนทำให้เป็นหวัด กินยาแล้วง่วงอยากแต่จะนอน เมื่ออาการดีขึ้นก็เกิดโรคทางใจร้ายแรงที่เกิดจากความติดข้องในความเพลิดเพลินที่ได้พูดคุยหัวเราะสนุกสนานล้อเล่นกับเพื่อนรู้ใจ แต่ละคืนจึงพากันมานั่งคุยที่ห้องรับแขกของอานวิลลา ห้องมังคลา เพื่อเรียนภาษาอังกฤษบ้าง หรือฝึกวิทยายุทธ์ในการนวดจากอาจารย์ยุพินบ้างโดยเป็นหุ่นให้คุณวรรณีฝึกนวด คุยเล่นสนุกสนานกันทุกคืนในบรรยากาศหนาวเย็นแต่อบอุ่นเป็นกันเองด้วยมิตรภาพที่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันมานานปีจนติด คืนหนึ่งมีคนนึกได้พูดว่า ไม่ได้สนทนาธรรมกันเลย ทุกคนนิ่งเหมือนรู้สึกผิด แต่ที่จริงแล้ว ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกอย่างไม่เว้นเลยเป็นจิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วดับไปทันที เพียงแต่ยังไม่เข้าใจมั่นคงพอจึงคิดว่า ต้องสนทนาเรื่องราวของจิต เจตสิก รูปเท่านั้นจึงจะเป็นธรรม เหมือนเด็กหัดอ่านหนังสือ มีหนังสืออยู่ตรงหน้าแต่เมื่อยังอ่านไม่ออกก็ไม่รู้ว่า มีหนังสือให้อ่านแล้ว คิดแต่ว่าครูต้องสอนว่า ก.ไก่ มีลักษณะอย่างนี้ ข.ไข่ มีลักษณะอย่างนี้ เมื่อไม่ได้ฟังเรื่องลักษณะของ ก.ไก่ ข.ไข่ ก็คิดว่าไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้จัก ก.ไก่ ข.ไข่ จนจำได้แม่นยำพอที่ไม่ต้องบอกแล้วบอกอีกว่า นี่ ก.ไก่นะ เหมือนอย่างที่ท่านอาจารย์พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็มีสภาพธรรมปรากฏให้ระลึกศึกษาตลอดเวลา แต่ตอนนี้ก็ดีกว่าแต่ก่อนมากที่พอจะนึกได้บ้างว่า เวลาที่วิตกกังวลถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดเพราะติดข้องในเรื่องนั้นมาก ทำให้ไม่สบายใจ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า คิดเป็นธรรมอย่างหนึ่ง คิดเป็นคิด ไม่ใช่เรา คิดเกิดขึ้นคิดแล้วก็ดับไปทันที ไม่กลับมาอีก ก็ทำให้สบายใจขึ้นแม้เป็นเพียงความคิดที่ได้มาจากการฟังพระธรรมของพระผู้มีพระภาค ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังก็คิดอย่างนี้ไม่ได้ คิดดูซิว่า แค่คิดได้เพียงเท่านี้ก็ยังเบาสบายจากความเป็นเรา ถ้าได้ประจักษ์จริงๆ ว่า ไม่มีเรา จะเบาสบายขนาดไหน แต่ก็คิดได้เฉพาะที่เกิดความไม่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น ตอนที่เพลิดเพลินสนุกสนานไม่เคยแม้จะคิดสักนิดว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นเรากำลังสนุกสนาน และมีความหวังต่อไปว่า เมื่อไรจะสนุกอย่างนี้อีก
หลังเสร็จสิ้นภารกิจสนทนาธรรมข้ามเดือนที่ไซ่ง่อนตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. 60 – 4 ก.พ. 60 แล้ว เช้าวันที่ 5 ก.พ. 60 ก็ออกเดินทางไปสนามบินไซ่ง่อนที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรมเฟริสท์ซึ่งเป็นของรัฐบาล มิน่าถึงมีบริเวณกว้างใหญ่ รวมพื้นที่สองฝั่งถนนจนถึงวนเวียนที่เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ช่วงนี้เพิ่งหมดเทศกาลตรุษจีน ทุกแห่งจึงตบแต่งสวยงามด้วยต้นเบญจมาศออกดอกสีเหลืองทั้งต้น ต้นส้มที่ออกลูกสีส้มเข้ม มีไฟฟ้าประดับตบแต่ง นั่งรถจากโรงแรมไปสนามบินระหว่างทางผ่านสวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีต้นไม้ขนาดใหญ่สวยงาม เสียดายไม่มีเวลามาเดินดู โลภะทำหน้าที่อีกแล้ว แม้สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ยังติดข้องอยากจะตามไปเที่ยวชมอีก
นั่งเครื่องบินจากไซ่ง่อนไปสนามบินดานังใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง มีสหายธรรมเวียดนามไปคอยต้อนรับที่สนามบินหลายคน แล้วพากันนั่งรถแวน 2 คัน พร้อมรถขนกระเป๋า 1 คันเดินทางผ่านเมืองดานังไปยังเมืองฮอยอานที่อยู่ห่างไป 30 กม. รถแล่นผ่านเมืองดานัง ข้ามสะพานหนึ่งแล้วเห็นสะพานมังกรสีทองอยู่ใกล้ๆ และถนนเลียบทะเลยาวเหยียดของดานัง ผ่าน Premium Village ที่เคยมาพักเมื่อ 2 ปีก่อน และผ่าน Marble Mountain ภูเขาหินอ่อน สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของดานัง ด้านริมฝั่งทะเลกำลังสร้างโรงแรมขนาดใหญ่มากมาย ได้ยินคนบ่นว่า กำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 อยู่แล้ว สร้างกันไปทำไมมากมาย ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โลภะก็ทำกิจของโลภะไป โทสะก็ทำกิจวิตกกังวลไป สภาพธรรมแต่ละอย่างต่างก็เกิดขึ้นทำกิจของตนแล้วก็ดับไป เมื่อยังไม่รู้ ก็ยังเป็นเราวิตกกังวล ยังไม่ใช่ธรรม
รับประทานอาหารกลางวันเป็นอาหารไทยรสชาติเวียดนามที่ร้าน Thai Market ในเมืองฮอยอาน แล้วเดินทางผ่านเมืองเก่าที่เป็นมรดกโลกเข้าชานเมืองที่เป็นทุ่งนาผ่านถนนสายเล็กๆ ระยะทางประมาณ 3 กม. ก็ถึง An Villa ที่สหายธรรม คือ คุณถายและภรรยา คุณฮั่ง คุณหาย คุณไม ทำธุรกิจร่วมกัน เธอบอกว่า เมืองฮอยอันเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวตะวันตกนิยมมาเที่ยวมากที่สุดในเวียดนาม เราจึงเห็นโรงแรม รีสอร์ท Home Stay มากมายบนสองข้างถนนสายเล็กๆ กลางทุ่งนานี้
วันที่ 6 ก.พ. 60 พวกเรานั่งรถตู้จากอานวิลลา เข้าไปเที่ยวชมเมืองโดยนั่งรถสามล้อผ่านย่านเมืองเก่าที่ไม่อนุญาตให้รถยนต์วิ่ง อากาศที่นี่กำลังเย็นสบายจนหนาวในบางวัน เพราะก่อนหน้าที่เราจะมามีฝนตกต่อเนื่องถึง 2 เดือน และตอนนี้บางวันฝนก็ยังตก คราวก่อนมาเดือนพฤษภาคม อากาศร้อนมาก จนร้านค้าต้องปิดร้านตอนบ่ายจะขายของตอนเช้ากับตอนเย็นเท่านั้น ทำให้นึกไม่ออกว่า อากาศจะหนาวเย็นได้อย่างไร หลายคนไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับอากาศหนาวมาเลย โชคดีที่น้องๆ ที่ตามมาทีหลังในวันที่ 8 ก.พ. 60 นำเสื้อและผ้าพันคอมาให้ ต้องขอขอบคุณน้องนภาน้องป้อมมณี และน้องเมตตาที่นำเสื้อผ้ามาฝากด้วยค่ะ และคุณขจีรัตน์ที่นำขนมเทียน ข้าวต้มมัดที่อร่อยมากจากร้านที่หัวหินมาฝาก คนเวียดนามติดใจกันมาก
เมื่อพักผ่อนชมเมืองในตอนเช้าวันที่ 6 ก.พ. 60 แล้ว หลังจากนั้นก็สนทนาธรรมทุกวัน วันละ 2 รอบ 09.00 – 11.00 น. และ 15.00 – 17.00 น. มีพระภิกษุ 3 รูปเดิม แม่ชี ที่ติดตามมาจากไซ่ง่อน และมีผู้ที่เข้าใจว่า ตนเองเป็นภิกษุณีอีก 3 คน มีผู้ฟังจากญาจางและดาลัทมาร่วมฟังจนเต็มห้องโถงของอานวิลลา แม้ว่า 3 วันแรกจะสนทนาภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่น้องตั้มน้อยก็แปลเป็นภาษาเวียดนามให้พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไม่พูดภาษาอังกฤษฟังอยู่ด้านหลัง ขณะที่เราแปลเป็นภาษาไทยให้สหายธรรมที่อยากฟังเข้าใจด้วย เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจจริงๆ ที่มีผู้คนต่างชาติ ต่างภาษา สนใจฟังความจริงที่หาฟังได้ยากยิ่งถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ตรัสรู้และมีพระมหากรุณาคุณทรงแสดงไว้ มีพระอริยสงฆ์สาวกสืบทอดต่อมาจนถึงรุ่นเรา และพวกเรามีท่านอาจารย์ที่เมตตากล่าวสอนแล้วสอนอีก ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นแสงสว่างเพราะได้ฟังความจริงนี้เลย
เรื่องที่สนทนาส่วนใหญ่ก็เป็นคำถามเรื่องการทำสมาธิ การสวดมนต์ แต่ท่านอาจารย์ก็ดึงมาสู่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ อธิบายเรื่องเห็น ได้ยิน คิดนึกที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ฟังบ่อยๆ ก็รู้สึกว่า ตนเองยังไม่เคยระลึกศึกษาเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เลย ฟังเป็นเรื่อง จึงคิดว่า พูดซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเดิม เพราะยังไม่เข้าใจว่า พูดซ้ำเพื่อเตือนให้ระลึก เมื่อความเข้าใจยังไม่มั่นคงพอที่จะรู้จริงๆ ว่าเห็นเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วก็ดับไป จึงยังเป็นเราเห็นทุกครั้งที่เห็น และยังไม่มั่นคงพอที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเลย เพียงปรากฏให้รู้ได้ทางตาอย่างเดียวแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก แต่เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วจึงปรากฏเป็นนิมิตให้คิดว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่เคยคิดมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์
วันที่ 9 ก.พ. 60 หลังจากสนทนาธรรมทั้งเช้าและบ่ายแล้ว เวลา 18.00 น ก็ทำพิธีเปิดอานวิลลา An Villa เป็นรีสอร์ทเล็กๆ ริมแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำทูโบน ประกอบด้วยบ้านพัก 4 หลัง รับรองแขกได้ 16 คน โดยเพื่อนๆ 5 คน มี Mr. Tran Van Thai สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ 988 เป็นผู้ชายคนเดียวและหัวหน้าทีม พร้อมด้วยภรรยา Mrs. Nguyen Thanh Tam สมาชิกลำดับที่ 983 และเพื่อนธรรมะ Ms. Nguyen Thi Minh Hang สมาชิกลำดับที่ 985 Ms. Tran Thanh Mai สมาชิกลำดับที่ 986 และ Ms. Tran Thi Hai สมาชิกลำดับที่ 990 ลงทุนร่วมกันเพื่อเป็นอาชีพที่สร้างรายได้มั่นคงและอิสระจากเจ้านาย (แต่หนีไม่พ้นจากนายใหญ่ คือ โลภะ) สามารถมีเวลาศึกษาธรรมและเดินทางไปสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ ได้อย่างที่ต้องการ (ความต้องการก็ย้ายที่อยู่เรื่อยๆ แต่ความต้องการเองไม่เคยหมดมีแต่จะเพิ่มขึ้นตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง) โดยเชิญท่านอาจารย์กล่าวเปิด ท่านอาจารย์พูดสั้นๆ แต่เป็นความจริงอย่างที่สุดที่พวกเราได้ฟังมาแล้วหลายร้อย หลายพันครั้ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ แม้จะพยายามเข้าใจก็ยิ่งไม่เข้าใจ ท่านกล่าวว่า “ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา” ซึ่งเข้าใจเอาเองว่า ท่านอาจารย์ต้องการเตือนให้ไม่ลืมว่า ธุรกิจที่ทำนี้จะเจริญรุ่งเรืองหรือไม่นั้นบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นผลของกรรมที่ทำไว้แล้วและกรรมที่จะทำในปัจจุบันด้วย
ได้บันทึกเสียงการสนทนาธรรมที่แปลเป็นไทยไว้ แต่คิดว่า ไม่มีอะไรลึกซึ้งกว่าที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้มากมายแล้ว เพราะถ้ายังไม่เข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ยังไม่เข้าใจมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ก็ยังไม่ระลึกตรงลักษณะของเห็น ได้ยิน คิดนึกที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ก็ต้องฟังต่อไปจนกว่าจะเข้าใจขึ้น ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไร ก็ไม่พ้นจากเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ยินกับเสียง ได้กลิ่นกับกลิ่น ลิ้มรสกับรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกับเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว คิดนึกและเรื่องที่คิดที่กำลังปรากฏในขณะนี้นั่นเอง แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังบ่อยๆ แล้วตั้งใจฟังด้วยดีก็จะรู้ว่า เตือนให้ระลึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้นั่นเอง
วันที่ 14 ก.พ. 60 เป็นการสนทนาธรรมวันสุดท้าย หลังสนทนาธรรมภาคเช้ามีการอุทิศส่วนกุศลให้คุณแม่ของผู้ฟังจากดาลัทที่เพิ่งเสียชีวิตในวันนี้เอง ทำให้คุณนีน่าได้พูดปลอบใจเพราะสามีของคุณนีน่า คือ ท่านทูตลอดเดอเวคก็เสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน คุณนีน่าเล่าว่า ตอนนั้นท่านอาจารย์เตือนคุณนีน่าว่า No one is there.ไม่มีใครที่นั่น ทำให้คุณนีน่านึกขึ้นได้ว่า มีแต่จิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นแต่ละขณะทำกิจแล้วดับไปเท่านั้นเอง ไม่มีใครเลยจริงๆ มีแต่ความจำและความคิดที่ทำให้มีบุคคลต่างๆ
ตอนใกล้จะจบการสนทนาธรรมภาคเช้า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบการสนทนาธรรม ตามที่เราเคยพบบ่อยๆ ในการจัดสนทนาธรรมที่เวียดนาม เพราะรัฐบาลจะเข้มงวดกับการชุมนุมทางศาสนา ต้องขออนุญาตก่อนจัด แต่สหายธรรมเวียดนามไม่ได้ขออนุญาต คงมีคนแจ้งไป ตำรวจถึงมาตรวจสอบ ตอนบ่ายจึงต้องงดการสนทนาธรรม แต่ก็มีสหายธรรมมาขอพบท่านอาจารย์ที่ห้องพักเพื่อถามปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว ท่านอาจารย์ตอบว่า ทำดีที่สุด เหมือนอย่างที่ตำรวจห้ามการสนทนาธรรม แต่ก็มีผู้มาสนทนากับท่านอาจารย์ถึงห้องพักจนได้
คณะผู้จัดเวียดนามจึงได้ทำพิธีปิดการสนทนาธรรมตอน 6 โมงเย็นของวันที่ 14 ก.พ. 60 ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์ด้วย เด็กๆ ลูกหลานนำช็อกโกแล๊คป้ายหน้ากันสนุกสนาน พร้อมกับกล่าวขอบคุณท่านอาจารย์และคณะวิทยากรที่มาให้แสงสว่าง พร้อมกับนัดหมายสำหรับการสนทนาธรรมครั้งที่ 10 ในวันที่ 25 ส.ค. 60 – 5 ก.ย. 60 ที่ฮานอย และครั้งที่ 11 ในวันที่ 28 ธ.ค. 60 – 6 ม.ค. 61 พร้อมกับมอบเงินบูชาธรรม ซึ่งท่านอาจารย์ก็มอบเงินทั้งหมดคืนให้ชมรมบ้านธัมมะเวียดนามเพื่อกิจกรรมเผยแพร่พระธรรมในเวียดนามต่อไป ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ คุณพี่สุมน พี่เต่า น้องสาวผู้ติดตามท่านอาจารย์ คุณมารศรี บุรณไทย ผู้จัด คุณเผ่าทิพย์ มอนแทนดอน คุณวรรณี แซ่โง้ว คุณนภา จันทรางสุ ผู้ดูแลท่านอาจารย์ รศ. สงบ เชื้อทอง ช่างภาพ (จำเป็น) คุณมารศรี และคุณยุพิน สุชลธาดา ถ่ายทอดสดการสนทนาตลอดรายการ คุณวันชัย ภู่งาม ช่างภาพตัวจริง และภรรยา ท่านพลเรือโทนภดล สุธัมมสภา คุณเมตตา ชัยศรีโสภณกิจ คุณป้อมมณี มณีไพโรจน์ คุณขจีรัตน์ คุณพาณี คุณเจร่า จิราภรณ์ ศรีสมุทร ขวัญใจชาวเวียดนาม และผู้สนับสนุนจากเมืองไทยที่จัดเตรียมเสบียงและยามาให้ คุณอ้อม สวณี แสนทอง คุณวิภาดา กัลยาณมิตร คุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร คุณแก้วตา อเนกพุฒิ ผู้รับส่งท่านอาจารย์ คุณสุกัญญา เพื่อนชอบ คุณเดือนฉาย ค่ำอำนวย ทุกท่านทำให้การเดินทางครั้งนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นค่ะ
จบข่าว สวัสดีค่ะ พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง รายงาน