ทานอันพระเถระให้เป็นไป

 
Tanagon
วันที่  13 มี.ค. 2560
หมายเลข  28672
อ่าน  966

เรียนท่านวิทยากร

มีความสงสัยว่า ทานที่พระเถระทั้งหลาย ที่มีปรากฏในหลายแห่งว่าได้กระทำทานให้พระเถระผู้อรหันต์รูปอื่น เพื่อประโยชน์แก่นางเปรตบ้าง ดังเช่นเรื่องที่เปรตผู้มารดาพระสารีบุตรในชาติที่ 5 ก่อนนี้ พระสารีบุตรทำทานอุทิศส่วนกุศลให้นางเปรต ก้ได้วิมาน ได้ผลของทานนั้น

และมีกล่าวไว้ในอรรถกถาโดยทำนองว่า ทานที่พระพุทธเจ้าให้เป็นไปในพระสารีบุตรย่อมเป็นทานที่มีผลมากมีอานิสงค์มากยิ่งที่สุด เพราะเหตุว่าบุคคลผู้จะกระทำให้ผลของทานยิ่งเช่นกับพระผู้มีพระภาคย่อมไม่มีในโลก

ก็พระผู้มีพระภาคและพระเถระผู้อรหันต์ทั้งหลาย กุศลจิตไม่มี ทานของท่านเหล่านั้นสักว่ากิริยาจิตอันประกอบด้วยโสภณเจตสิกเป็นไปเท่านั้น ผลที่จะให้ให้อนาคตก็ไม่มี เพราะเหตุไร จึงสามารถอำนวยผลให้นางเปรตได้ และเพราะเหตุใดจึงกล่าวว่ามีผลมาก มีอานิสงค์มาก

ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 มี.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การอุทิศส่วนกุศล เป็นบุญประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้น โดยเมื่อมีการทำบุญประเภทต่างๆ แล้วก็มีจิตคิดให้ผู้อื่นรับรู้บุญที่ได้ทำมา เพื่อให้สัตว์นั้นได้อนุโมทนา ดังนั้น การอุทิศส่วนกุศลจึงเป็นเรื่องของจิต ที่มีเจตนาให้ผู้อื่นรู้ในบุญที่ตนได้กระทำ ครับ

ซึ่งกุศลทุกๆ ประการที่ได้ทำสามารถอุทิศได้ ซึ่งกุศลของผู้ที่ได้ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรม เป็นต้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก จึงไม่สามารถจะยกบุญของตนเองไปให้ผู้อื่น เพราะ บุญของใครก็ของคนนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นปัญหา หากว่า ลืมอุทิศ หลังจากที่เพิ่งได้ทำบุญ ก็สามารถอุทิศภายหลังได้เมื่อนึกขึ้นได้ เพราะ การอุทิศส่วนกุศล ก็เป็นการบอกบุญ ให้ญาติรับรู้ ที่เกิดเป็นเปรตหรือ เทวดา ได้รับรู้ และญาติเกิดจิตอนุโมทนา คือ เกิดกุศลจิตของตนเอง อนุโมทนาในกุศลที่เราได้ทำ ครับ เพราะฉะนั้น การอนุโมทนาของญาติ ก็ต้องเป็นกุศลของญาติเอง ไม่ใช่ การนำบุญของตนไปให้ญาติ เพราะว่า บุญของเราเองก็เกิดดับไปแล้ว แม้เพิ่งอุทิศเดี๋ยวนั้นบุญที่เราได้ทำก็ดับไปแล้ว จึงไม่มีปัญหาที่จะอุทิศภายหลัง ซึ่งหากมีการอุทิศภายหลังหลายวัน และญาติเกิดจิตอนุโมทนาก็ได้รับส่วนบุญ ส่วนบุญนี้ ไม่ใช่มาจากการยกบุญของเราไปให้ เหมือนสิ่งของที่มอบให้ แต่ส่วนบุญที่ได้รับ อาศัยบุญที่เราได้ทำ ทำให้ญาติเกิดกุศลจิตของตนเอง จึงได้รับส่วนบุญของจิตที่ตนเองทีเกิดกุศลจิต ครับ ซึ่ง ถ้าเกิดเป็น สัตว์นรก เป็น สัตว์เดรัจฉาน และ มนุษย์ เหล่านี้ ไม่สามารถรับอุทิศส่วนกุศลได้ หากถ้าเกิดเป็น เปรต เป็น โอปปาติกะ คือ ตายแล้วเกิดโตเป็นตัวโตทันทีไม่ได้ผ่านการเกิดในครรภ์ในท้องก่อน เพราะฉะนั้น สัตว์ที่เกิดโตทันทีจึงจำความได้ว่า ชาติก่อนเป็นอะไร ชื่ออะไร เพราะเพียงการสืบต่อของขณะจิตเดียว คือ จุติจิตไปปฏิสนธิจิต และ โต เป็นตัวใหญ่ทันทีรู้เรื่องเลย ต่างกับภพภูมิมนุษย์ที่ต้องเกิดในครรภ์ก่อน ค่อยๆ โต และ เป็นเด็กทารก โดยมาก จึงจำชื่อ เรื่องราวต่างๆ ในชาติก่อนไม่ได้เพราะฉะนั้น หากเกิดเป็นปรตโตทันทีก็จำชื่อของตนเองในชาติก่อนได้ และเมื่อมีญาตอุทิศส่วนกุศลให้ และ รับรู้ ก็เกิดจิตอนุโมทนา เพราะ กล่าวถึงชื่อของตนที่ญาติอุทิศก็ได้รับส่วนกุศลนั้น ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ในการอุทิศที่เอ่ยชื่อ ครับ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า ๔๒๙
เมื่อบุคคลให้ทาน กระทำการบูชาด้วยของหอมเป็นต้น แล้วให้ส่วนบุญว่าขอส่วนบุญจงมีแก่บุคคลชื่อโน้น หรือว่า ขอส่วนบุญจงมีแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ พึงทราบว่า เป็นบุญกิริยาวัตถุอันเกิดแต่การให้ส่วนบุญ.

ท่านอาจารย์สุจินต์... เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงการอุทิศส่วนกุศล คนส่วนใหญ่คิดว่า ส่งไปให้เหมือนทางไปรษณีย์ แต่ความจริงให้ทราบว่า กุศลคือจิตที่ดีงาม เพราะฉะนั้น เราจะเอาจิตที่ดีงามของเราไปยกให้ใครไม่ได้ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมาก ทุกคนกำลังมีจิต เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ทราบว่า จิตของทุกคนบางครั้งเป็นกุศล บางครั้งเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น กุศลของใครก็ของคนนั้น ถ้าเราเห็นคนอื่นทำความดี เราอนุโมทนายินดีด้วยไหม ถ้าขณะที่เราอนุโมทนายินดีด้วย ในขณะนั้นเป็นกุศลจิตจึงสามารถยินดีได้ในกุศล ในคุณงามความดีของคนอื่น ขณะที่เป็นมนุษย์ ฉันใด ถ้าเราตายไปแล้วเกิดในภูมิอื่น แล้วสามารถรู้ว่า ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงระลึกถึงความดีที่เราเคยมีต่อกัน แล้วทำบุญอุทิศกุศลให้ เพื่อให้เราเกิดยินดีอนุโมทนาขณะใด ขณะนั้นเป็นกุศลของเราที่ยินดีอนุโมทนา

-----------------------------------------------------------

ดังนั้น จึงไม่ใช่การยกจิตของพระสารีบุตร คือ กิริยาจิต ที่เป็นโสภณ จิตที่ดีงามให้มารดาพระสารีบุตร แต่ เป็นจิตของมารดาของพระสารีบุตรที่เกิด กุศลจิตอนุโมทนาเองครับ

ส่วน ผลบุญมีมาก เพราะ ท่านพระสารีบุตรมีปัญญามาก พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้มีปัญญามาก เลิศที่สุด นั่นเอง ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 13 มี.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความดี ทั้งหมดควรค่าแก่การอนุโมทนา ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะ ความดีเป็นความดี เป็นสภาพธรรมที่ไม่นำมาซึ่งโทษใดๆ เลย และผู้ที่เห็นคุณของความดีเท่านั้น ที่จะชื่นชมในความดี ขณะที่ชื่นมชมยินดีในความดีของผู้อื่นเป็น ความดีของผู้ที่ชื่นชมยินดี เมื่อเหตุมีแล้ว ผลก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามควรแก่เหตุ ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 14 มี.ค. 2560

บุญหรือกุศลอยู่ที่ใจและของที่ให้บริสุทธิ์ไหม ที่สำคัญขึ้นอยู่กับผู้รับมีคุณมากหรือมีคุณน้อย และเจตนาให้ กำลังให้ ภายหลังให้ไม่เสียดาย จึงจะมีผลมาก มีอานิสงส์มากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kullawat
วันที่ 15 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 31 มี.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ