การมีสติในชีวิตประจำวัน

 
p.methanawingmai
วันที่  21 มี.ค. 2560
หมายเลข  28698
อ่าน  1,401

ขอเรียนถามเพื่อพัฒนาความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ การมีสติรู้สภาวธรรม ซึ่งในชีวิตประจำวัน มีสภาวธรรมเกิดขึ้น ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย และโดยเฉพาะใจมีการคิดตลอดที่ลืมตาตื่น จะมีสติระลึกรู้ สภาวะไหนคะ หรือสัมผัสอะไรได้ก็รู้สิ่งนั้นไป แล้วสิ่งที่ระลึกรู้ไม่ทัน จะเป็นโมหะ หรือไม่ค่ะ ขอกราบขอบพระคุณในเมตตาจิตของท่านวิทยากรและทีมงานด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 มี.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่มีคำว่าทำอย่างไร เพราะ ทำไม่ได้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติเป็นธรรม เมื่อสติเป็นธรรมก็เป็นอนัตตาด้วย จึงไม่สามารถที่จะเลือกอารมณ์ให้สติระลึกรู้ได้เลย ครับ ดังนั้น แล้วแต่ว่า สติจะเกิด หรือไม่เกิด และเกิดแล้ว จะรู้อารมณ์ใด ก็อนัตตา ครับ หน้าที่ คือ ฟังพระธรรมต่อไป

ท่าน อ.สุจินต์...เพราะฉะนั้น จะไม่มีทางเลยที่จะเห็นความเป็นอนัตตาของสติว่า ถ้าสติระลึกแล้ว ระลึกเก่ง กว่าตัวตนที่กำลังไปพยายามกำหนด เพราะว่าไปพยายามกำหนด กำหนดอะไร รูปอย่างเดียว นามอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความละเอียดของสภาพธรรมซึ่งวิจิตรมาก ซึ่งผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจริงๆ จะรู้ได้ว่า อนัตตา เลือกอารมณ์ให้ปัญญารู้ไม่ได้ เวลาที่เรากำลังเห็น แล้วเราค่อยๆ ระลึกรู้ว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เวลาที่กำลังได้ยิน ค่อยๆ ระลึกว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ยังไม่ใช่ขณะที่วิปัสสนาญาณเกิด เพียงแต่ว่าเป็นการปูทาง หรืออบรมเจริญปัญญาให้มีกำลังที่ว่า เมื่อถึงกาลที่วิปัสสนาญาณจะเกิด สติจะระลึกลักษณะของนามรูปซึ่งเราไม่เคยคิดหวังหรือรอคอยว่า จะต้องเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ คือไม่มีทางที่จะไปทำความเป็นอัตตาให้เกิดขึ้น เพราะว่าเรากำลังเตรียมอย่างนี้ เพราะฉะนั้น รูปนี้จึงปรากฏ เพราะเหตุว่าทั้งนามธรรมรูปธรรมเกิดดับเร็วมาก แล้วก็ตามเหตุตามปัจจัยด้วย

เพราะฉะนั้น เมื่อสภาพธรรมปรุงแต่งให้สภาพธรรมใดเกิด แล้วสติระลึก คนนั้นจะรู้ทันทีว่า ไม่มีตัวเราหรือว่าไม่มีกำลัง หรือว่าไม่มีอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงหรือบันดาลได้ เมื่อพร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่สัมมาสติเกิดระลึก แล้วขณะนั้นพร้อมที่จะรู้แจ้ง ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าอบรมมามากในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีความหวั่นไหวเวลาที่สัมมาสติระลึก สภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริงได้

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังธรรมสั้นๆ แล้วท่านสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านไม่ต้องไปที่อื่นเลย ไม่มีความหวังว่า ต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเหตุว่าปัญญาอบรมแล้วพร้อมที่เมื่อสัมมาสติจะระลึก ซึ่งเก่งมากกว่าตัวตนเหลือเกิน ตัวตนอย่าได้ไปคิดเลยว่า จะระลึกได้อย่างสติที่เป็นสัมมาสติ

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความเป็นอนัตตานี้คืออย่างนี้ แล้วการละการยึดถือสภาพธรรมและความหวังผล ก็จะต้องเป็นไปในรูปนี้ แต่ถ้าไปด้วยความหวัง ก็ไม่มีอะไรที่จะละความหวังอันนั้น แล้วโลภะก็จะติดตามไปซ่อนเร้นเหมือนอย่างทุกวัน เราเกิดมาลืมตาขึ้นมาก็เป็นไปตามโลภะ โดยไม่รู้ แล้วก็จะไปตามโลภะ ให้ไปที่โน้นที่นี้อีก ก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้น ก็ถูกโลภะจูงไปตลอดไม่มีทางที่จะหันกลับมารู้ความจริงว่า โลภะอยู่ตรงนี้ เพราะเหตุว่าให้ไปตรงนั้น แต่ถ้าโลภะไม่อยู่ตรงนี้ สติก็ระลึกตรงนี้ ปัญญาก็สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อย

----------------------------------------------------------

ขณะที่สติไม่เกิด ขณะนั้นไม่ได้รู้ความจริง แต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นโมหะ ครับ เพราะอาจเป็นกุศลจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น ให้ทาน ขณะนั้น ไม่รู้ความจริง แต่ไม่มีโมหะ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
p.methanawingmai
วันที่ 21 มี.ค. 2560

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 21 มี.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ควรไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความจดจ้องต้องการที่จะรู้สภาพธรรม แต่ควรอย่างยิ่งที่จะมีการเริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการอบรมเจริญปัญญา จริงๆ เพราะธรรมมีจริงในขณะนี้ ทุกขณะ ไม่พ้นจากธรรม ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ก็ไม่พ้นจากธรรม มีสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยอยู่ตลอด แต่ไม่ใช่มีความจดจ้องที่จะไปรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด จึงต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมจริงๆ ว่า เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น ไม่ใช่เรา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมฝ่ายดี คือ สติและปัญญา เป็นต้น เกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ด้วยความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เราไปบังคับบัญชาให้เกิด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ..

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
p.methanawingmai
วันที่ 21 มี.ค. 2560

อาจารย์คะ เห็นความอยากในการพยายามทำให้ดี หรือยังมีความเป็นเราที่จะพัฒนาความเข้าใจ แล้วสัญญาค่อยๆ ระลึกถึงคำสอนท่านอาจารย์ จึงหยุด แล้วปล่อยให้เป็นไปตามสภาพธรรมที่เกิด ดับ จะเป็นกุศลได้ไหมคะ ขอความกรุณาด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 21 มี.ค. 2560

เรียนความเห็นที่ 4 ครับ

จิตของใครก็ของคนนั้น ครับ ซึ่งเกิดดับสลับกันเร็วมาก ต้องรู้ในขณะที่เกิด จึงจะรู้ว่าเป็นกุศล หรือ อกุศล เพราะฉะนั้นสำคัญที่เข้าใจความเป็นอนัตตา ธรรมจะทำหน้าที่เอง เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ก็ฟังต่อไป ปัญญาจะเจริญขึ้นทีละน้อย แม้อกุศลจะมีมากก็เป็นปกติ ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
p.methanawingmai
วันที่ 21 มี.ค. 2560

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตา และอนุโมทนากุศลจิตของท่านอาจารย์และทุกๆ ท่านค่ะ ที่ทำให้เกิดความเข้าใจในธรรมเพิ่มขึ้นค่ะ สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 22 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wirat.k
วันที่ 24 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
thilda
วันที่ 24 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ประสาน
วันที่ 25 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
tinq305
วันที่ 28 มี.ค. 2560

อนุโมทนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
worrasak
วันที่ 28 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 31 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
peem
วันที่ 1 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ