การทำงานกับธรรมมะ

 
อภินันท์
วันที่  18 เม.ย. 2560
หมายเลข  28770
อ่าน  2,367

สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคนในที่นี้ครับ ผมอภินันท์ครับ ในวันนี้ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาหน่อยครับ คือในปัจจุบันผมกำลังทำงานในตำแหน่งวิศวกรในบริษัทหนึ่งอยู่ครับ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือหลังจากที่ผมได้ทำงานไปซักพักหนึ่งแล้วก็ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่าตัวผมไม่อยากที่จะทำงานทางสายนี้ต่อเพราะว่า 1) งานที่ทำเหมือนเป็นงานที่ร้อน ตามกิเลส อยู่ค่อนข้างตลอดเวลาเพราะเป็นงานเชิงธุรกิจที่จะต้องกระตุ้นหรือพัฒนาตัวเองหรือคิดให้ได้ตามความต้องการของธุรกิจหรือลูกค้าให้ทัน ทำให้การคิด การนำเสนองาน หรือการวิทำงานนั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะสัมพันธ์กับความคิดที่ว่า ว่าต้องทำให้ได้ จะต้องเก่งกว่านี้ให้ได้ จะต้องผ่านให้ได้ เพื่อความอยู่รอดของตัวเราเองในบริษัท จึงทำให้ผมคิดจะเปลี่ยนสายงานไปทำงานทางด้านบริการ เช่น ครูตามต่างจังหวัดเพราะว่าผมมีความรู้สึกว่าเวลาผมทำงานผมไม่จำเป็นต้องทำงานตามกิเลสฝ่ายอกุศลแต่เป็นการทำงานเพราะผมอยากจะให้กับเด็กๆ และผู้อื่นครับ เพราะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความอยากทางด้านธุรกิจครับ แต่ขับเคลื่อนจากการมีเมตตาธรรมเป็นพื้นฐานซึ่งจะเกื้อหนุนกับคุณค่าการเป็นมนุษย์และการปฏิบัติธรรมของผม อย่างไรก็ตามหลายๆ คนที่ผมขอคำปรึกษาก็มักจะบอกว่าเป็นครูยังไงก็เลี้ยงตัวเองไม่รอดหรอก หรือบอกว่าไม่สงสารพ่อแม่หรือไงทีเค้าจะมาเห็นว่าผมเงินเดือนน้อยและอาจจะเลี้ยงพ่อแม่ได้ไม่มากทั้งๆ ที่จบปริญญาโท แต่อย่างไรก็ตามผมมองว่าผมควรทำงานเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีเงินเดือนเลี้ยงตัวเองและคนอื่นได้ แต่เพราะผมจะต้องอยู่กับงานไปทั้งชีวิตของผมดังนั้นผมควรจะทำงานให้มีความสุขครับ และผมก็มีความรู้สึกว่างานแรกเป็นงานที่อยู่กับกิเลสโดยธรรมชาติครับ ผมควรทำยังไงดีเหรอครับ ในตอนนี้ผมมองว่าผมควรหางานที่สองให้ได้ก่อนถึงจะออกจากงานแรกครับ แต่ก็ต้องใช้ให้ประหยัดเพราะเงินเดือนนั้นจะน้อยลงครับ ขอบคุณมากครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 เม.ย. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามกรรมที่จะซัดพาไป ก็แล้วว่า ธรรมจะจัดสรรให้ไปทำงานที่ไหนก็ตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ซึ่งคิดได้ ว่าจะทำอะไร อย่างไร แต่ก็เป็นธรรมที่ทำหน้าที่ทั้งนั้น ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อไปทำงานที่ไหน ผู้ที่เข้าใจความจริงว่าทุกข์นั้นมาจากอะไรก็มาจากกิเลสที่สะสมมา เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาจึงแสวงหาทางดับกิเลส ด้วยการศึกษาพระธรรมจากพระพุทธเจ้าทรงแสดงด้วย เป็นสำคัญ แบ่งเวลาให้กับสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดของชีวิต เพราะ แม้จะได้งานที่ตนเองชอบ มีเมตตาธรรม แต่ ไม่ศึกษาธรรม ก็ย่อมทุกข์ร่ำไป เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่รู้จักความจริง เหตุแห่งทุกข์ ก็เสียเวลา ขณะที่เกิดเป็นมนุษย์ครับ จึงควรสะสมงานที่มีค่า คือ ศึกษาพระธรรม ส่วนการตัดสินใจจะทำงานอะไรนั้น เมื่อถึงเวลา ธรรมก็จะจัดสรรเป็นไป แต่ผู้มีปัญญา ย่อมศึกษาพระธรรม ครับ

งานอดิเรกที่ดีที่สุด

ท่าน อ.สุจินต์.. ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “งานอดิเรก” ไม่มีใครบังคับให้ทำเลย ใช่ไหมคะ แต่เป็นเพราะความสนใจ เพราะฉะนั้นเรามีงาน ทุกคนเกิดมาในวัยทำงานก็ทำงานไป แต่จะเป็นอะไรก็ตามแต่ บางคนชอบเล่นไพ่ บางคนก็ชอบเล่นกอล์ฟ อะไรก็แล้ว ดนตรี เป็นต้น นั่นคืองานอดิเรก จะบอกว่าเราไม่มีเวลาสำหรับงานอดิเรกที่เราชอบหรือ ใช่ไหมคะ พอว่างนิดหนึ่ง เราก็หันไปหาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือฟังเพลง อะไรก็ตามแต่

เพราะฉะนั้นเวลาที่มีสำหรับผู้ที่มีความสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขาก็จะหันไปหาสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะศึกษาธรรม หรือฟังธรรม ไม่มีเวลา นี่ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าเหมือนงานอดิเรกซึ่งไม่มีใครบังคับ แต่เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่างานอื่นๆ งานทั้งหลายก็นำมาซึ่งเรื่องราว อย่างคนที่คิดเรื่องไฟฟ้า รถไฟ เครื่องบิน จนกระทั่งวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ พวกนี้ก็เป็นงานของเขา ซึ่งเขาก็สะสมมา ทำไมคนอื่นไม่ทำล่ะ คนนี้ทำด้านนี้

เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็แต่ละอัธยาศัย คนหนึ่งก็ตัดเสื้อ คนหนึ่งก็ทำผม ก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นคนที่จะฟังธรรม ก็เป็นอย่างหนึ่งซึ่งไม่แปลก เพราะว่าได้สะสมศรัทธาที่จะรู้ว่า ชีวิตนี้สั้น เกิดมาตายได้เลยทันที ๒ เดือน ๓ เดือน ปีหนึ่ง ๑๐๐ ปีก็มี ก็แล้วแต่ แต่ว่าระหว่างนั้นทำอะไรที่คิดว่าเหมาะสมควรมีประโยชน์ที่สุดแล้วหรือต่อการที่จะต้องตาย เพราะอย่างไรก็ต้องตาย ใช่ไหมคะ เราจะทำเพื่อประเทศไทย เกิดใหม่เราก็ไม่รู้ว่า จะอยู่ที่ประเทศไทยหรือเปล่า ใช่ไหมคะ ทำไม่ใช่เฉพาะเจาะจงประเทศไทย ทำเพื่อโลก เราเกิดอีก เราจะอยู่โลกไหนก็ยังไม่รู้เลย

เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีประโยชน์ในระหว่างที่ยังไม่จากโลกนี้ไป ซึ่งทุกคนจากแน่ค่ะ และประโยชน์นั้นเป็นประโยชน์แก่ตนเองด้วย เมื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง คือ คุณความดีก็ต้องเป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วย แล้วทำไมเราจึงไม่คิดที่ว่า ที่เรากำลังทำงานอยู่ทุกวันนี้ เป็นความดีหรือเป็นอะไร

เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาธรรมแล้ว ก็เป็นส่วนพิเศษของความสนใจที่จะได้ประโยชน์ที่ว่า มีโอกาสจะได้เข้าใจทุกอย่าง เพราะว่าถ้าพรุ่งนี้ตาย ทำไงคะ ทำงานแค่นี้จบแล้ว พอใจแล้วที่ได้ทำแค่นี้ แล้วก็ย่นย่อเกิดกับตายให้ติดกัน ง่ายมากเลย ไม่มีอะไรในระหว่างนั้นเลย แต่เพราะเกิดกับตายนี่ห่างกัน จนกระทั่งมีเวลาตรงกลาง ส่วนใหญ่สะสมสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเรามองเห็นเลยว่า พอใครแสดงการกระทำอะไรที่ไม่ดี เรารู้ว่านี่ไม่ดี แต่ความไม่ดีมีตั้งแต่อย่างที่ออกมาทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง แต่ถึงยังไม่ออกเลย ขณะนั้นก็ไม่ดี โดยที่ไม่รู้ คิดว่าดีแล้ว แต่พอมาถึงพระพุทธเจ้าท่านสามารถมีพระญาณที่ละเอียดยิ่งที่จะรู้การสะสมของแต่ละคนว่า ชาติก่อนๆ ๆ ซึ่งเราก็เคยเกิดมาแล้ว และตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก เป็นอะไร อยู่ที่ไหน และสะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน

เพราะฉะนั้นที่เราคิดว่าเราดีแล้ว ไม่ใช่ดี เพราะอะไรคะ เพราะไม่รู้ความจริง ไม่ใช่กล่าวง่ายๆ ลอยๆ ว่าไม่ดีๆ แต่ไม่มีเหตุผล ดีก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครในทางที่ทุจริตเบียดเบียน นั่นคือความดี คือละเว้นสิ่งที่ทุจริต แต่ขณะที่กำลังละเว้น เราก็ยังมีความไม่ดี ซึ่งคนจะไม่รู้เลยว่า ความไม่ดีนั้นคืออะไร ความไม่ดีนั้นคือไม่รู้ความจริง เกิดมา มาจากไหน อยู่ดีๆ ก็เกิดมาอย่างนั้นหรือ หรือถ้าเป็นคนที่มีเหตุผล เขาก็จะต้องรู้ว่า ต้องมีเหตุที่ให้เกิด และเหตุที่ให้เกิดหลากหลายมาก คนเกิดมาก็ยังไม่เหมือนกันเลย อะไรทำให้แต่ละคนต่างกัน บางคนเป็นเศรษฐี บางคนพิการ บางคนนิสัยดี บางคนทั้งๆ ที่เป็นเศรษฐี นิสัยก็แย่มาก ทั้งๆ ที่มีคนยากจน นิสัยก็ดี

นี่ก็เป็นสิ่งที่แต่ละคนไม่ได้รู้เลยว่า ต้องมีเหตุแน่นอน และระหว่างที่เรายังเกิดอยู่ เราก็กำลังสะสมเหตุนั้นๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนว่า แท้ที่จริงทุกขณะมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น และถ้าเป็นความดีและความชั่วนั้น ไม่ได้ไปไหนเลยสะสมอยู่ในจิต ใครจะลักขโมยออกไปไม่ได้เลย เพราะว่าจิตเป็นสิ่งที่อยู่ภายในที่สุด ไม่มีอะไรที่จะในยิ่งกว่าจิต

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 19 เม.ย. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก็เป็นชีวิตปกติธรรมดาของผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ ที่จะต้องประกอบอาชีพเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ เพื่อประโยชน์ในการประคับประคองให้ชีวิต ดำเนินไปอย่างไม่เดือดร้อน สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง ก็จะไม่ละเลยโอกาสสำคัญในชีวิตคือ การสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมโดยตลอด เป็นเครื่องเกื้อกูลที่ดีในชีวิต ทำให้ความดีประการต่างๆ เจริญยิ่งขึ้น คล้อยตามความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นการสะสมความดี ซึ่งเป็นทรัพย์ภายใน อยู่ในภายในสะสมอยู่ในจิต ใครๆ ก็ลักขโมยไปไม่ได้ ความดี เมื่อเกิดขึ้นไม่เคยทำร้ายใครเลย ทำให้ผู้ที่มีความดีอยู่เย็นเป็นสุขไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ด้วยอกุศลธรรม ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ต้องแสวงหาทรัพย์ภายนอก เพราะเหตุว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ทำให้มีการแสวงหา ก็ยังต้องมีการแสวงหายิ่งถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ด้วยแล้ว การแสวงก็เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรโดยสุจริต ชอบธรรม

ที่น่าพิจารณาเพิ่มเติม คือ ทรัพย์ของชาวโลก เช่น เงิน ทอง เป็นต้น ไม่ใช่ทรัพย์ที่ประเสริฐ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พ้นจากทุกข์ และไม่ได้นำความสุขมาให้อย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีเงินมากๆ ก็เป็นทุกข์มากเพราะเงิน แสดงว่าทรัพย์นั้นไม่ได้ประเสริฐ ทรัพย์ที่เป็นเงินนั้นไม่ทำให้เกิดในภพภูมิที่ดีได้ เพราะฉะนั้นทรัพย์เหล่านั้นนำมาแต่ความทุกข์ ความกังวลใจ ในปัจจุบันนี้มีทรัพย์มากเท่าไรก็มีศัตรูมากเท่านั้น เพราะมีทรัพย์ ก็มีอำนาจ มีข้าศึกมาก เพราะฉะนั้น ทรัพย์ของชาวโลก จึงไม่ประเสริฐเลย ส่วนทรัพย์ภายใน ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐ ได้แก่ สภาพธรรมที่ดีงาม กล่าวคือ ศรัทธา ศีล หิริ (ความละอายต่ออกุศล) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่ออกุศล) สุตะ (การสดับตรับฟังพระธรรม) จาคะ (การสละกิเลส) และปัญญา อริยทรัพย์เหล่านี้ ไม่มีวันสูญหาย ไม่มีการถูกลักขโมย มีแต่จะติดตามเจ้าของทรัพย์ไปได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นความประเสริฐของทรัพย์ภายในซึ่งเป็นอริยทรัพย์ จึงมากกว่าทรัพย์ทั่วๆ ไปของชาวโลก เพราะสามารถทำให้พ้นจากอบายภูมิ ทำให้พ้นจากทุกข์พ้นจากวัฏฏะได้ ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
golakgola
วันที่ 19 เม.ย. 2560

สาธุ อนุโมทนามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 19 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ ขออนุญาตกล่าวถึงประสบการณ์ทำงานของตัวเอง ตอนเรียนนั้นเลือกที่จะเรียนเพราะเหตุอื่นที่ไม่ใช่ความชอบ ตอนทำงานก็ทำตามที่เรียนมา ซึ่งก็เพราะว่าไม่ชอบ ไม่ถูกกับนิสัย ก็เลยทำให้ทำได้ไม่ดี และไม่มีความสุขกับงานนั้น เปลี่ยนมา 2 อาชีพก็ไม่ใช่อาชีพที่ชอบอยู่นั่นแหละ แต่ในที่สุด ก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้ได้ทำในสิ่งที่ชอบ และพบความสงบสุขจากงานที่ทำ ประจวบกับได้ศึกษาธรรมะจากทางมูลนิธิฯ จากที่เคยแสวงหาสิ่งที่บางทีก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตอนนี้ก็คิดว่าไม่ต้องแสวงหาอีกแล้ว ชีวิตของเจ้าของกระทู้อาจไม่เป็นแบบนี้ ซึ่งก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าของกระทู้สะสมเหตุปัจจัยมาดีที่ทำให้ได้พบสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์แล้ว คือการได้พบพระธรรม ไม่ว่าอย่างไร อย่าทิ้งนะคะ ศึกษาและฟังพระธรรมต่อไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 20 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
p.methanawingmai
วันที่ 21 เม.ย. 2560

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Macro
วันที่ 21 เม.ย. 2560

ขออนุโมทนานะครับ :)

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 22 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Woranan
วันที่ 25 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 27 เม.ย. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
worrasak
วันที่ 7 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ต.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ