ฟังจนระลึกเป็นธัมมะ
การฟังอะไรก็ตาม ควรฟังโดยความตั้งใจ จึงจะได้สาระในการฟัง การฟังธรรมะ ไม่ว่าจะกล่าวโดยใคร หากเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "เป็นคำจริง เป็นเรื่องของการละ สละความเห็นแก่ตน จนในที่สุด สละในความเป็นตัวตน" ยากมากกว่าจะได้ยินผู้กล่าวเช่นนี้ จึงกราบขอบพระคุณทางมูลนิธิ และท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นอย่างสูง และจะน้อมจิตตั้งฟังธรรมะ จนสังขารขันธ์จะปรุงแต่งให้ประจักษ์เข้าใจในความเป็นธรรมะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 320
ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่าดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
-----------------------------------------------------------------
ท่าน อ.สุจินต์... เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่ทรงแต่งตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ แล้วเราจะเชื่อตามพระองค์ไหมว่า ทำไมไม่ทรงแต่งตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ ในเมื่อสมัยโน้นก็มีพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์มากมาย ท่านพระมหากัสสปะ ก็ยังอยู่ ท่านพระอานนท์ก็ยังอยู่ พระอริยบุคคลมากมาย ก็ไม่ทรงตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาเลย เพราะว่าพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วนั่นแหละเป็นศาสดา ทุกยุคทุกสมัย เพราะว่าแต่ละคนก็ต้องจากโลกนี้ไปแล้วทั้งนั้น และอะไรจะเหลือ ถ้าแต่งตั้งเป็นบุคคล แต่คำสอนที่ได้ทรงแสดงไว้นั่นแหละจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ ถ้าใครศึกษาคำสอนก็จะสามารถที่จะเข้าใจความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
--------------------------------
ท่าน อ.สุจินต์.. ผู้บรรยายธรรมทุกท่านเปรียบเสมือน" ผู้อ่านสาส์นของพระราชา" พระราชา คือ พระบรมศาสดาเพราะฉะนั้น สาส์น คือ พระไตรปิฎกและข้อความในอรรถกถา เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังก็ไม่ควรคิดถึงว่า ผู้อ่านเป็นใคร แต่ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฟังธรรม ก็คือ สนใจในข้อความ ในสาส์น คือ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการอบรมเจริญปัญญา จริงๆ เพราะธรรมมีจริงในขณะนี้ ทุกขณะ ไม่พ้นจากธรรม ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ก็ไม่พ้นจากธรรม มีสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยอยู่ตลอด แต่ไม่ใช่มีความจดจ้องที่จะไปรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด จึงต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมจริงๆ ว่า เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น ไม่ใช่เรา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมฝ่ายดี คือ สติและปัญญา เป็นต้น เกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ด้วยความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เราไปบังคับบัญชาให้เกิด ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ…