เพราะเหตุใดฟังธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเเล้วน้ำตาไหล

 
natty19_999
วันที่  7 พ.ค. 2560
หมายเลข  28817
อ่าน  5,491

เพราะเหตุใดฟังธรรมแล้วน้ำตาไหล การคิดพิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วน้ำตาไหล

เมื่อฟังธรรมะแล้ว

1.น้ำตาไหลเอง

2.เกิดความเบื่อหน่ายในวัฏสาร เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์

3.เกิดการอยากหนีจากความทุกข์

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่มีใครคิดเหมือนเรากลัวมีคนคิดว่าเราบ้า


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 พ.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขณะที่น้ำตาไหล เกิดจากจิตที่เป็น กุศลจิต หรือ อกุศลจิต ก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับสภาพจิตในขณะนั้น น้ำตาไหลเพราะ โทสะก็ได้ เช่น เศร้าโศกเสียใจ

แต่ขณะใดที่น้ำตาไหล เกิดกุศล น้ำตาไหลก็ได้ เช่นขณะที่ ระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย ปิติ และ กุศลจิตเกิดขึ้น เป็นปัจจัยให้รูปไหวไป ทำให้น้ำตาไหลก็ได้ ครับ

ความเบื่อหน่าย องค์ธรรม คือ ปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ความเบื่อหน่ายที่เป็นโทสะ ไมชอบใจในความไม่สบาย ป่วยของร่างกาย แต่เห็นตามความเป็นจริง ที่เป็นวิปัสสนาญาณ เบื่อหน่ายในขันธ์ เพราะ เห็นถึงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วยปัญญา ระดับสูง จึงเบื่อหน่ายด้วยปัญญาและถึงการดับกิเลสด้วยวิปัสสนาญาณขั้นอื่นๆ เกิดขึ้น ครับ เพราะฉะนั้น จึงไม่พ้นไปจากเรื่องของปัญญาเป็นสำคัญ หากไม่มีปัญญา ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ก็สำคัญ เบื่อหน่าย ด้วยความเป็นเรา ไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมเป็นไป การสะสมปัญญาที่จะถึงความเบื่อหน่ายที่เป็นปัญญาระดับสูง จึงต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ปัญญาที่เกิดขึ้น จึงเป็นไปตามลำดับไม่ข้ามขั้น ไม่มีตัวตนที่จะทำให้เบือ่หน่าย แต่เมื่อปัญญาถึงพร้อม ความเบื่อหน่ายย่อมเกิดขึ้น ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะ หากเบื่อหน่ายตัวเอง เบื่อหน่ายจากทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าทุกข์จริงๆ คืออะไร ก็เป็นโทสะ ที่เบื่อหน่าย ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 7 พ.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ความเสียใจ หรือ ดีใจ ปลาบปลื้มใจ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นเหตุให้เกิดน้ำตาไหลได้ สำคัญที่เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

-ความเบื่อหน่ายจริงๆ เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจถูก ไม่ใช่ด้วยความเบื่อด้วยอำนาจของโทสะ ไม่ใช่ด้วยความเดือดร้อนกระวนกระวายใจไม่สบายใจ ที่ไม่ชอบ ถ้าเริ่มต้นจากความไม่รู้ แล้วไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ (โดยที่เข้าใจผิดว่ารู้แล้ว ถูกต้องแล้ว) ก็มีแต่จะสะสมความไม่รู้ สะสมความเห็นผิดมากยิ่งขึ้น พอกพูนอกุศลให้มีมากขึ้น เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อความไม่รู้ ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาเท่านั้นถึงจะเข้าใจไปตามลำดับ แต่ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาเลย ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจ ควรอย่างยิ่งที่จะได้เริ่มต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจเพราะธรรมมีจริงๆ ในขณะนี้ มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหนเลย สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 7 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 8 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 8 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 8 พ.ค. 2560

ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้าเกิดดีใจน้ำตาไหลก็ได้ และกุศลเกิดสลับกับอกุศลได้อย่างรวดเร็ว และการเบื่อหน่าย หรือหนีทุกข์ เป็นเรื่องของความคิด เป็นเรื่องของการสะสมมาที่จะคิดแบบนั้น คิดก็เป็นธรรมะที่มีจริง เป็นนามธรรม ต้องฟัง ต้องศึกษาอีกนานกว่าจะรู้ว่าแม้คิดไม่ใช่เราค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
p.methanawingmai
วันที่ 8 พ.ค. 2560

กราบอนุโมทนาในความกระจ่างของธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
peem
วันที่ 15 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 16 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ