เริ่มรับมรดกที่ล้ำค่า
khampan.a
วันที่ 12 พ.ค. 2560
หมายเลข 28832
อ่าน 2,446
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สรุปสาระสำคัญของการสนทนาธรรม
ที่บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐
---------------------------------------------
~ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ได้อบรมเจริญความเห็นถูก ที่ได้มีการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มิฉะนั้นแล้ว โอกาส ที่จะเข้าใจก็ยาก
~ ความเข้าใจ คือ ปัญญา ถ้าไม่เข้าใจ ก็คือ ไม่รู้เหมือนเดิม
~ คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส คำนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น ใครจะเปลี่ยนแปลงได้?
~ สิ่งที่มีจริง ละเอียดยิ่ง ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
~ ธรรม ไม่ใช่เราสักอย่างหนึ่ง จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ชีวิตนี้ สั้น ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลย จะสั้นจนถึงเย็นนี้หรือเปล่า? ความตาย ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะเป็นเมื่อใด
~ มั่นคง ว่า ฟังธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก
~ มรดกที่ล้ำค่า คือ พระธรรม เงินทองซื้อไม่ได้ จะเกิดตายอีกสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงไว้ ผู้นั้นก็เหมือนคนจน เพราะเหตุว่าอยู่ในความมืดมิดด้วยความไม่รู้ (ไม่มีปัญญา)
~ พระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ฟังในวันนี้ ไม่สูญหาย แต่ปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงอภิสมัย (สมัยที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการบรรลุธรรม) คือ การรู้แจ้งสภาพธรรมที่ได้ฟัง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าใจธรรมที่กำลังได้ฟัง
~ ทุกคนอยากมีความสุข อยากได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ได้ไหม? ตามเหตุปัจจัย เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ ดีและชั่ว สะสมอยู่ที่จิต
~ มีเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น
~ มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ทำหน้าที่ เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง
~ ทั้งหมด เป็นธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
~ กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ต้องอาศัยความเข้าใจละเอียดขึ้นๆ
~ ฟังธรรม (คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เพื่อไม่เข้าใจผิดไปตามคำของคนอื่น
~ สิ่งสำคัญ คือ ค่อยๆ น้อมไปสู่ความไม่ใช่เราไปแต่ละชาติๆ
~ ชีวิตประจำวัน เป็นธรรมทั้งหมด เพียงแต่เราไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
~ ถ้าจะไม่ลืมธรรม ก็ฟังอีก สะสมอีก เพราะสะสมมาที่จะไม่ลืม แม้ในขณะนั้นไม่ได้ฟัง ก็ยังระลึกถึงความเป็นจริงของพระธรรมได้
~ เพียงฟังแล้ว ไม่ไตร่ตรอง ก็ลืมอีก
~ ขณะที่หลับ ไม่เห็น จึงเป็นจิตที่ต่างชนิดกัน
~ จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล เพราะมีเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ฝ่ายดี เกิดร่วมด้วย
~ ฟังพระธรรมทำไม? ทุกคำ ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
~ ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง
~ ฟังพระธรรม สะสมความเห็นถูก
~ ไปทำวิปัสสนา ผิดหรือถูก? ผิด, พูดสิ่งที่ถูกต้อง จะกลัวจะอะไร?
~ พูดคำจริง เพื่อประโยชน์ เป็นความหวังดีใช่ไหมที่พูดคำจริงให้ได้เข้าใจ?
~ เป็นความหวังดีหรือ ที่จะให้คนอื่นเห็นผิดต่อไป? ไม่ใช่ความหวังดีเลย
~ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทันที ที่เข้าใจผิด
~ ถ้าเราเข้าใจเพิ่มขึ้น กล้าที่จะกล่าวคำจริงเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ ก็เป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ธรรมที่เป็นฝ่ายดี ทำให้อาจหาญ ร่าเริง ไม่เศร้าหมองในการกล่าวคำจริง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
~ ถ้าเป็นสิ่งที่ดี ทำไมจะต้องไปจำกัดเฉพาะหมู่บ้านหนึ่งหมู่บ้านใด แต่ต้องทั่วไปทั้งประเทศ ทั้งโลก ในเมื่อเป็นสิ่งที่ดี
~ คดโกง ยักยอก แล้วจะเป็นหมู่บ้านศีล ๕ ได้อย่างไร?
~ บุคคลผู้ที่จะรักษาศีล ๕ ได้สมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อถึงความเป็นพระอริยบุคคล แต่ก็ไม่ใช่ว่าก่อนหน้าที่จะได้เป็นพระอริยบุคคล นั้น ไม่เว้นทุจริต ก็เว้นได้ ตามอัธยาศัย ตามธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่า ธรรมที่เว้นเกิดขึ้นหรือเปล่า (วิรตีเจตสิก เกิดขึ้นหรือเปล่า) ถ้าวิรตีเจตสิก ไม่เกิดก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถเว้นทุจริตได้
~ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกต้อง ต้องเป็นไปตามความเป็นจริง มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ ธรรมเป็นปกติ เป็นปกติจริงๆ เมื่อไหร่รู้ว่าเป็นธรรม เมื่อนั้นก็มั่นใจได้เลยว่า ไม่ใช่เรา.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
อนุโมทนาในกุศลจิตของคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร
และทุกๆ ท่านครับ...
สรุปสาระสำคัญของการสนทนาธรรม
ที่บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐
---------------------------------------------
~ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ได้อบรมเจริญความเห็นถูก ที่ได้มีการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มิฉะนั้นแล้ว โอกาส ที่จะเข้าใจก็ยาก
~ ความเข้าใจ คือ ปัญญา ถ้าไม่เข้าใจ ก็คือ ไม่รู้เหมือนเดิม
~ คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส คำนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น ใครจะเปลี่ยนแปลงได้?
~ สิ่งที่มีจริง ละเอียดยิ่ง ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
~ ธรรม ไม่ใช่เราสักอย่างหนึ่ง จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ชีวิตนี้ สั้น ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลย จะสั้นจนถึงเย็นนี้หรือเปล่า? ความตาย ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะเป็นเมื่อใด
~ มั่นคง ว่า ฟังธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก
~ มรดกที่ล้ำค่า คือ พระธรรม เงินทองซื้อไม่ได้ จะเกิดตายอีกสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงไว้ ผู้นั้นก็เหมือนคนจน เพราะเหตุว่าอยู่ในความมืดมิดด้วยความไม่รู้ (ไม่มีปัญญา)
~ พระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ฟังในวันนี้ ไม่สูญหาย แต่ปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงอภิสมัย (สมัยที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการบรรลุธรรม) คือ การรู้แจ้งสภาพธรรมที่ได้ฟัง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าใจธรรมที่กำลังได้ฟัง
~ ทุกคนอยากมีความสุข อยากได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ได้ไหม? ตามเหตุปัจจัย เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ ดีและชั่ว สะสมอยู่ที่จิต
~ มีเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น
~ มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ทำหน้าที่ เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง
~ ทั้งหมด เป็นธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
~ กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ต้องอาศัยความเข้าใจละเอียดขึ้นๆ
~ ฟังธรรม (คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เพื่อไม่เข้าใจผิดไปตามคำของคนอื่น
~ สิ่งสำคัญ คือ ค่อยๆ น้อมไปสู่ความไม่ใช่เราไปแต่ละชาติๆ
~ ชีวิตประจำวัน เป็นธรรมทั้งหมด เพียงแต่เราไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
~ ถ้าจะไม่ลืมธรรม ก็ฟังอีก สะสมอีก เพราะสะสมมาที่จะไม่ลืม แม้ในขณะนั้นไม่ได้ฟัง ก็ยังระลึกถึงความเป็นจริงของพระธรรมได้
~ เพียงฟังแล้ว ไม่ไตร่ตรอง ก็ลืมอีก
~ ขณะที่หลับ ไม่เห็น จึงเป็นจิตที่ต่างชนิดกัน
~ จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล เพราะมีเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ฝ่ายดี เกิดร่วมด้วย
~ ฟังพระธรรมทำไม? ทุกคำ ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
~ ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง
~ ฟังพระธรรม สะสมความเห็นถูก
~ ไปทำวิปัสสนา ผิดหรือถูก? ผิด, พูดสิ่งที่ถูกต้อง จะกลัวจะอะไร?
~ พูดคำจริง เพื่อประโยชน์ เป็นความหวังดีใช่ไหมที่พูดคำจริงให้ได้เข้าใจ?
~ เป็นความหวังดีหรือ ที่จะให้คนอื่นเห็นผิดต่อไป? ไม่ใช่ความหวังดีเลย
~ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทันที ที่เข้าใจผิด
~ ถ้าเราเข้าใจเพิ่มขึ้น กล้าที่จะกล่าวคำจริงเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ ก็เป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ธรรมที่เป็นฝ่ายดี ทำให้อาจหาญ ร่าเริง ไม่เศร้าหมองในการกล่าวคำจริง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
~ ถ้าเป็นสิ่งที่ดี ทำไมจะต้องไปจำกัดเฉพาะหมู่บ้านหนึ่งหมู่บ้านใด แต่ต้องทั่วไปทั้งประเทศ ทั้งโลก ในเมื่อเป็นสิ่งที่ดี
~ คดโกง ยักยอก แล้วจะเป็นหมู่บ้านศีล ๕ ได้อย่างไร?
~ บุคคลผู้ที่จะรักษาศีล ๕ ได้สมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อถึงความเป็นพระอริยบุคคล แต่ก็ไม่ใช่ว่าก่อนหน้าที่จะได้เป็นพระอริยบุคคล นั้น ไม่เว้นทุจริต ก็เว้นได้ ตามอัธยาศัย ตามธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่า ธรรมที่เว้นเกิดขึ้นหรือเปล่า (วิรตีเจตสิก เกิดขึ้นหรือเปล่า) ถ้าวิรตีเจตสิก ไม่เกิดก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถเว้นทุจริตได้
~ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกต้อง ต้องเป็นไปตามความเป็นจริง มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ ธรรมเป็นปกติ เป็นปกติจริงๆ เมื่อไหร่รู้ว่าเป็นธรรม เมื่อนั้นก็มั่นใจได้เลยว่า ไม่ใช่เรา.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
อนุโมทนาในกุศลจิตของคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร
และทุกๆ ท่านครับ...
ความคิดเห็นที่ 12
สิริพรรณ
วันที่ 12 พ.ค. 2560
กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณ คุณพี่ทักษพล คุณพี่จริยา เจียมวิจิตร และครอบครัว
ในกุศลจิตธรรมทาน ณ กาลครั้งหนึ่งที่เป็นมงคลของบ้านสวรรค์จริยา อีกวาระหนึ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณทุกท่าน
ในการสนทนาธรรม และเผยแพร่พระธรรมด้วยค่ะ
การอยู่ใกล้บัณฑิต ปัญญาย่อมเจริญ