ณ กาลครั้ง ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา วิสาขบูชา ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันพุธ ที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการ และคณะวิทยากร อ.ธนิต ชื่นสกุล รศ.สงบ เชื้อทอง ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.กุลวิไล สุทธิลักษณวณิช อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อ.วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.
และเช่นที่เคยเป็นมา เมื่อทางมูลนิธิฯจัดให้มีการสนทนาธรรมที่อาคารของมูลนิธิฯ เนื่องในโอกาสวันสำคัญๆ ทางพระพุทธศาสนา เพื่อน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัย ก็จะมีผู้ที่ร่วมกันเจริญกุศลทั้งการเป็นเจ้าภาพในการนำอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มนานาชนิดมาตั้งร้านให้บริการแก่ผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยง
ตลอดจนการจัดดอกไม้บูชาพระบรมสารีริกธาตุที่สวยสดงดงามในทุกๆ ครั้ง ก็มาจากความร่วมแรงร่วมใจกันของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ทำดีและศึกษาพระธรรม ตามที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กรุณาให้คำขวัญอันมีค่านี้ไว้ เป็นเครื่องเตือนใจสมาชิกทุกคน นอกเหนือไปจากความเข้าใจธรรมะของแต่ละท่าน ที่เป็นเหตุให้น้อมไปสู่กุศลทุกประการ ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่กุศลทุกประการในชีวิตประจำวัน ด้วยความมั่นคงขึ้นว่า แม้ความดีนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะฝ่ายดีที่เกิดขึ้นเป็นไปบ่อยๆ เนืองๆ ตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมาจนมีกำลังมากขึ้นนั่นเอง และในทางตรงกันข้าม อวิชชา ความไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ก็คืออกุศลธรรม ธรรมะฝ่ายชั่ว ที่บุคคลสะสมมามากมาย ยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ย่อมนำพาบุคคลไปสู่อกุศลธรรม ความเสื่อมนานาประการในชีวิตประจำวัน ด้วยความไม่รู้ ทั้งไม่รู้ด้วยว่า ตนเองนั้นไม่รู้ (คิดเอาเองด้วยความไม่รู้ ว่ารู้แล้ว) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ หากบุคคลไม่สะสมมาที่จะพิจารณาถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังนี้โดยละเอียด รอบคอบ ย่อมเป็นผู้เผิน ฟังผ่านไป โดยขาดการพิจารณา ไตร่ตรอง ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่ตนนั้นเอง หาใช่ใครอื่นไม่!! ผู้ที่ศึกษาและเข้าใจธรรม จึงมีความเดือดร้อนลดน้อยลง ตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล เพราะเหตุที่รู้ว่า กุศลทุกประการที่เจริญขึ้น จากการที่ได้เข้าใจธรรมะนั้น ย่อมให้ผลดีแน่นอน ไม่ให้ผลเป็นความชั่วเลย เพราะผลต้องตรงตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว ตามธรรมะที่ได้ทรงแสดงจากการตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้
สำหรับการจัดดอกไม้บูชาพระบรมสารีริกธาตุในคราวนี้ ข้าพเจ้ามีโอกาสไปบันทึกภาพในวันที่สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. นำโดยคุณนภา จันทรางศุ (คุณแอ๊ว) คุณฟองจันทร์ วอลช (พี่แอ๊ว) คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล (พี่อ๋า) และสหายธรรมอีกหลายท่าน โดยมีลูกมือที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะได้เดินทางมาร่วมเจริญกุศล คือ คุณเอ๋ สุภัทรา ใจชาญสุขกิจ ที่มาจากราชบุรี หลังจากส่งคุณสามีคือท่านพลตำรวจตรีปรัชญ์ชัย ใจชาญสุขกิจ ไปทำธุระแล้ว ก็มีเวลาว่าง จากที่เคยพาน้องพอร์ชหลานสาวตัวน้อยไปเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้ารอเวลา ได้ทราบข่าวจากน้องกุ้ง ทัศนีย์ นายตำรวจหญิงสาวสวยของมูลนิธิฯ ที่ฝักใฝ่สนใจในธรรม ว่ากำลังมีการจัดดอกไม้ที่มูลนิธิฯ จึงชวนกันมาเจริญกุศลในวันนี้
ทราบจากคุณแอ๊ว นภา จันทรางศุ ว่า การจัดดอกไม้ในวันนี้ เดิมคาดว่าอาจจะต้องจัดกันเพียงสองสามคนที่ได้ปวารณากันไว้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น กว่าจะเสร็จก็คงจะดึกดื่นเที่ยงคืนแน่ (ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาใด เพราะทุกท่าน ทำด้วยกุศลจิต ด้วยกุศลศรัทธา ไม่ใช่ด้วยความติดข้องเพราะอยากได้บุญ หรืออยากให้เสร็จเร็วๆ ) แต่เมื่อถึงเวลา ก็มีสหายธรรมที่มีกุศลศรัทธาหลายท่าน เดินทางมาโดยมิได้นัดหมาย ทุกท่านมาด้วยใจ ด้วยกุศลศรัทธา จริงๆ งานจึงสำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็ว ไม่ถึงดึกดื่นอย่างที่คิด กราบอนุโมทนาทุกท่านมา ณ ที่นี้ ครับ
อนึ่ง เป็นที่น่าพิจารณาว่า การจัดดอกไม้บูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุที่ดูสวยสดงดงามยิ่งนี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยหลายประการ อันประกอบพร้อมขึ้นในกาลหนึ่งๆ ซึ่งบุคคลจะเห็นได้ด้วยตน และมั่นคงขึ้นในความเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ในความเป็นอนัตตาว่า เมื่อจะงดงามสักเพียงไหน ก็จะได้เห็นในที่สุด หนทางของการกระทำต่างๆ ของผู้ที่เข้าใจธรรม จึงไม่เป็นไปด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ ด้วยความวิตกกังวล ด้วยความติดข้องต้องการ แต่เป็นไปด้วยความเพียร ด้วยกุศลศรัทธา ด้วยศิลปวิทยาที่ได้สะสมมาดีแล้ว จึงมีมือและเท้า ที่เป็นไปในการเจริญกุศลทุกประการ มีมือและเท้าที่เป็นไปในการบูชาคุณพระรัตนตรัย ที่น่าชื่นชมอนุโมทนาอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ไม่เพียงการจัดดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย แต่เป็นกุศลทุกประการที่ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ได้ร่วมใจกัน ทำดีและศึกษาพระธรรม เพื่อเป็นการบูชาคุณพระรัตนตรัย ที่ประเสริฐที่สุด ในทุกๆ วัน ทุกๆ กาล ไม่เฉพาะแต่เพียงในโอกาสวันวิสาขบูชานี้เท่านั้น
ทุกคนแสวงหาความสุขในชีวิต อยากมีชีวิตที่มากไปด้วยความสุข ความสบาย ไม่อยากมีทุกข์เลย แต่หากมิได้เป็นผู้ที่มีความเข้าใจธรรมะ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จากการตรัสรู้และทรงแสดงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระองค์นั้น ไฉนเลยบุคคลจะสามารถมีความสุขที่แท้จริงได้ แม้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายสักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถซื้อความสุขที่แท้จริงนี้ได้ ความสุขที่เกิดจากการได้เข้าใจธรรมะ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตนี้ เป็นความสุข เป็นอริยทรัพย์ที่แท้จริงที่บุคคลที่ไม่เข้าใจ จะไม่สามารถรู้ได้เลย และผู้ที่มีความเข้าใจธรรมะ ย่อมรู้ว่าแม้สุขหรือทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวันนี้ หาใช่เราที่สุขหรือทุกข์ไม่ แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย อันบุคคลได้กระทำไว้ และประมวลมาซึ่งการกระทำนั้นๆ ในอดีต ให้ผลอันเป็นปัจจุบันแก่บุคคล ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะนี้เอง
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงมีพระมหากรุณาแสดงว่า สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป บุคคลที่เริ่มมีความเข้าใจธรรมะที่มั่นคงขึ้น ย่อมเป็นผู้ที่รู้ด้วยตนเองถึงผลของบุญและบาปของตนในอดีต จากการที่กำลังเป็นผู้ที่ได้รับผลของกรรมนั้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะนี้ หากได้เห็นสิ่งสวยๆ งามๆ ขณะนี้ ได้ยินเสียงที่ไพเราะ ได้กลิ่นหอมๆ ของดอกไม้ ได้ลิ้มรสอาหารกลางวันอร่อยๆ (ที่คุณแอ๊ว นภา และสหายธรรมนำมาให้ได้รับประทาน รวมถึงท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม รองประธานกรรมการมูลนิธิฯ ที่กรุณาสั่งอาหารจากร้านอาหารชื่อดังมาให้ได้รับประทานในมื้อเย็นด้วย กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาครับ) และใจที่คิดนึกไปในกุศลนานาประการทั้งที่กำลังกระทำอยู่ และที่เคยเป็นมาในอดีต อาจมีขณะของการคิดพิจารณา ระลึกรู้ สังเกตุ สำเหนียกในธรรม จากการที่ได้ยินได้ฟังมาจนมีความแนบนแน่นมั่นคงขึ้นในหทัย อันเป็นเหตุให้มีการคิดพิจารณาเป็นไปตามที่ได้ยินได้ฟังมา ปีติและสุขย่อมเกิดมีได้ในขณะนั้น ซึ่งก็หมดไปแล้ว สิ้นไปแล้ว เช่นกัน หามีใครผู้ใดเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ ความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นไปด้วยความละคลายออกจากการที่เคยยึดมั่นว่าเป็นเราที่สุข ที่ทุกข์ เป็นความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า แม้สุขแลทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เป็นแต่ธรรมเท่านั้น หาใช่เรา หาใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลใดไม่ สบายไหม? (แม้สบายก็ไม่ใช่เราเช่นกัน!!)
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนในวันนั้น ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากการที่จะได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะนี้ หลายคนอาจมีความรู้สึกว่า สนทนาธรรมกันครั้งใด ไม่เห็นจะพูดเรื่องอื่นเลย พูดแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วๆ เล่าๆ อยู่เช่นนี้ ลืมไปว่า ที่ว่าชีวิตของทุกท่านในแต่ละวันที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตื่นจนหลับ หากพ้นไปจากการรับรู้ทั้งหกทวารนี้ ที่เรียกว่าชีวิต ที่เรียกว่าโลก จะปรากฏมาแต่ไหน? ลืมไปว่า ตื่นมาก็เห็น ก็ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก หากไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แนบแน่นอยู่ในหทัยแล้ว ความที่บุคคลจะมีที่พึ่งให้ได้ระลึกเป็นไปในหนทางที่จะละคลายออกจากความเห็นผิดว่ามีเรา มีตัวตนของเรา ทั้งๆ ที่ไม่มี เพราะความจริงมีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น ธรรมเท่านั้นที่ตั้งอยู่ และธรรมเท่านั้นที่ดับไป ความรู้เช่นว่านี้จะมีมาแต่ไหน? หากมิได้เป็นผู้ที่ฟังและเข้าใจความจริงที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ แล้วๆ เล่าๆ บ่อยๆ เนืองเนือง จนฝังไว้อย่างแนบแน่นมั่นคงในหัวใจ อันจะเป็นเหตุให้บุคคลมีที่พึ่งแท้จริงได้ ในทุกๆ ขณะของชีวิต
ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เป็นวันที่ร่วมใจกัน บูชาคุณของพระรัตนตรัย "ทุกคำ" ต้อง "จริง" แล้วก็ "ตรง" บูชา เคารพอย่างสูงสุด พระรัตนตรัย สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสากลโลก ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธรัตนะ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งเป็นธรรมะ ให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจด้วย นี่เป็นพระคุณสูงสุด
เพราะฉะนั้น "รู้คุณ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อรู้จักว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีจริงๆ และทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ด้วย เป็นพระธรรมรัตนะ พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด "ทุกคำ" เป็นเรื่องของปัญญา!! ซึ่งจะทำให้มีความเข้าใจถูกในแต่ละคำ
เพราะฉะนั้น บูชาด้วยการฟัง!! ด้วยการเข้าใจพระธรรม!!! ที่จะเข้าใจแต่ละคำ ไม่ใช่เพียงเผินๆ !!! วันนี้วันวิสาขบูชา บูชาคุณของพระรัตนตรัย แต่...ไม่รู้จักพระรัตนตรัย!! นั่นไม่ถูกต้องเลย!! เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องตรงและจริง ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมะ ให้คนอื่นได้รู้ ได้เข้าใจด้วย จึงมีผู้ที่อบรม เจริญปัญญา สามารถที่จะรู้แจ้งความจริง อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไร? ถ้าไม่สามารถจะรู้ จะเข้าใจความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้!!
ด้วยเหตุนี้ ในครั้งนั้น จึงมีผู้ที่เคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ อบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ เข้าใจ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจได้ เพราะเหตุว่า กล่าวถึงสิ่งที่มีแล้วในขณะนี้!! ทุกอย่างที่กำลังเป็นขณะนี้ ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมี เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่ได้ทรงแสดงไว้ แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริง จนถึงกาลสมัยของพระสมณโคดมพระองค์นี้ เมื่อได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง การที่ได้อบรมความเข้าใจ "คำ" ที่พระองค์ตรัส ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ "แต่ละคำ" ก็ทำให้สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้!!
ด้วยเหตุนี้ จึงมีพระสังฆรัตนะ ซึ่งไม่ได้หมายความถึงภิกษุสงฆ์หรือคณะภิกษุ!! แต่หมายความถึง "คณะของผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม" ทั้งหมด ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เป็นสังฆรัตนะ!!
เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่ควรที่จะประมาทว่า เราเข้าใจแล้ว!! แต่ว่า...แม้แต่การที่จะบูชาพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น พระองค์ไม่ได้ทรงปรารถนาเครื่องสักการะใดๆ จากผู้ที่ไม่เห็นคุณของพระองค์ เพราะไม่เข้าใจธรรมะ เอาอะไรมาบูชา??? ในเมื่อไม่รู้คุณของผู้ที่เขาบูชา?
แต่ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจพระคุณ ก็บูชาพระคุณของพระองค์ สูงสุดคือ ด้วยการเข้าใจธรรมะ เพราะฉะนั้น ประการสำคัญที่ชาวพุทธจะขาดไม่ได้ ไม่ใช่สักการะบูชาด้วยพิธีกรรมต่างๆ ด้วยการกราบไหว้ สวดมนต์ ท่องบน และทำอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!
เพราะฉะนั้น ต้องรู้ ต้องเข้าใจ ให้ถูกต้อง!! ว่าพระรัตนตรัย ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากที่จะเข้าใจได้ เพราะพระองค์ตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ไม่มีทางที่ใครจะเห็น หรือว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจธรรมะ!!! ด้วยเหตุนี้ ประมาทไม่ได้เลยในการฟังธรรมะ แต่ะคำ และรู้ว่า เป็นสิ่งซึ่งเป็นไปเพื่อการสละ เป็นไปเพื่อการละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอกุศลต่างๆ ทุกวันนี้และต่อไปด้วย
ตราบใดที่มีกิเลส มีปัจจัยที่จะให้เกิด ไม่มีใครสามารถที่จะดับความเป็นไปของธรรมะ ธรรมะคือธรรมตา ตาคือความเป็นไปของธรรมะ ฝนตก เป็นธรรมดาไหม? เป็นความเป็นไป เป็นธรรมะที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ใครยับยั้งได้? ฟ้าร้อง...เกิดแล้ว...ใครไปยับยั้งเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้?
แม้จิตใจแต่ละขณะที่จะเกิดขึ้น ก็เพราะเหตุปัจจัย ที่แต่ละคนได้สะสมมา นานแสนนานนับไม่ถ้วนเลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ จิตนี้เกิดขึ้น เพราะได้สะสมมา ตั้งแต่ชาติก่อนๆ จนถึงชาตินี้
แล้วใครจะแสดงความจริงของสิ่งซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้? แต่ไม่รู้เลย ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป สืบต่อโดยไม่ปรากฏการเกิดดับ ซึ่งขณะนี้เป็นอย่างนี้ ก็ไม่รู้!!
เพราะฉะนั้น พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นคำพูดที่เหนือบุคคลอื่น เพราะเหตุว่า ไม่ได้พูดถึงแค่เกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย แล้วก็ทุกข์ แล้วก็สุข แต่ว่า กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเลย ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าขณะนี้ที่เรากล่าวว่า "ธรรมะ" ก็คือ "เดี๋ยวนี้" ขณะนี้เป็นธรรมะทั้งหมด!! ใครรู้บ้าง???
"เห็น" มีจริง เป็นธรรมะ เพราะเกิดแล้ว!! เห็นแล้ว!! ดับแล้ว!! "ได้ยิน" มีจริง สิ่งที่เรากำลังพูดถึงนี้ กำลังมีขณะนี้!! เดี๋ยวนี้!! แต่ไม่เคยเข้าใจ!! ไม่เคยเปิดเผยให้รู้ความจริงว่า นี่แหละ!! ไม่ใช่เรา!!! เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดเมื่อมีปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยจะเกิด ก็ไม่เกิด เกิดไม่ได้ ก่อนจะเกิดเป็นคนนี้ มีคนนี้หรือเปล่า? ไม่มีเลย แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นคนนี้ เป็นคนอื่นได้ไหม? เป็นคนก่อน ชาติก่อน ได้ไหม?
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิด สิ่งนั้นมีความดับไป เป็นธรรมดา" แต่ละคำ..ต้องฟัง...ด้วยความเข้าใจที่มั่นคง!! ดับไปไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น จะไม่มีคนนี้อีกเลย!! เมื่อถึงวันที่จากโลกนี้ไป เป็นคนนี้เฉพาะเมื่อได้เกิดเป็นคนนี้ สุข ทุกข์ ในโลกนี้ เหตุการณ์ต่างๆ ทุกอย่าง แม้แต่วันนี้ เมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ ก็เป็นธรรมะ!! ซึ่งใครยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้เลย จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป หมายความว่า สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เป็นคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย
เดี๋ยวนี้ ชาติหน้า คนหน้า ยังไม่เกิด ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร แต่ว่ากรรมที่ได้ทำมาแล้ว เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า กรรมไหน ก็เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นคนใหม่ต่อไป ไม่รู้จักคนนี้เลย คนนี้ทำอะไรมาบ้างเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ จำไม่ได้ ไม่รู้จัก บอกได้เลยว่า ไม่รู้จัก ถ้าได้ยินชื่อของใครในอดีต เขาทำอะไรบ้าง? เป็นเราได้ไหม? ใครรู้? ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย!!
เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกนี้ชั่วคราว ตามแรงกรรมที่จะให้เป็นคนนี้นานเท่าไหร่ แล้วก็จากไป จากไปนี่หมายความว่า ไม่เหลือเลย!! ไม่มีความเป็นบุคคลนี้อีกเลย เป็นคนใหม่ ชีวิตใหม่ เหมือนชาตินี้ ก็ไม่ใช่คนเก่าชาติก่อนเลย กี่ชาติ กี่ชาติมาแล้วก็เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครสักคน แต่เป็นธรรมะเท่านั้น!!!
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ต้องไม่ประมาท การเคารพก็คือว่า ต้องเข้าใจธรรมะ ไม่ใช่ว่า ไม่รู้จักพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม แล้วก็กราบไหว้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่าพระรัตนตรัย นั่นก็ไม่เป็นความจริง
เพราะเหตุว่า นอบน้อมบูชาสักการะสูงสุด ต้องเพราะเห็นความเป็นผู้เลิศ ประเสริฐ สูงสุด ไม่มีใครเปรียบได้ และทรงแสดงความจริง ให้คนไม่รู้ ได้ "เริ่มรู้" จะรู้เองไม่ได้เลย!! แต่ว่า จากความไม่รู้มากี่ชาติ นานเท่าไหร่ ก็จะเริ่มรู้ เมื่อมีการฟังพระธรรม และ เข้าใจพระธรรม
เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรม "เพื่อละ" ไม่ใช่ "เพื่อจะได้" อะไรเลย!! เพราะว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นดับแล้ว!! ได้อะไร??? มีอะไรเหลือ??? ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น เกิดแล้ว แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แล้วก็ไม่เหลือเลย มีแต่ความไม่รู้ ซึ่งพอกพูนแต่ละชาติ และความติดข้อง เพราะความไม่รู้ กิเลสนานาประการทั้งหมด ก็มาจาก "ความไม่รู้"
ด้วยเหตุนี้ ถ้ารู้ว่า "ไม่มีเรา" ไม่มีดอกไม้ ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน มีแต่สภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดรวมกัน ก็เลยเข้าใจผิด อย่าง "เห็น" เกิดที่ตา "ได้ยิน" เกิดที่หู แล้วก็ดับไป เห็นก็ดับ ได้ยินก็ดับ แต่ไม่รู้ ก็รวมกันทั้งหมด เราเห็น , เราได้ยิน , เราคิด , เราจำ...
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ เพื่อประโยชน์อย่างเดียว คือ "เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ของสิ่งที่กำลังมี" จนกว่าจะประจักษ์ความจริงว่า นี่คือสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ คือ ทรงประจักษ์แจ้งความจริง ทุกคำ ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย!!!
อ.กุลวิไล ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างว่า "ฟังเพื่อละ" ไม่ใช่เพื่อได้อะไรเลย!! แต่คนส่วนใหญ่เขาก็ไม่ได้รู้ว่า ฟังเพื่อละ แต่เขาคิดว่าจะได้อานิสงส์หรือผลของการทำบุญ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธรรมะไหม? เห็นไหม? ตรง!! คนที่จะตอบต้องเข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น "เห็น" มีจริง "ได้ยิน" มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ ถ้าถามว่า เดี๋ยวนี้มีธรรมะไหม? ความตรงก็คือจากความเข้าใจว่า..มี..ถ้าถามว่าอะไร? ก็ต้องกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีแต่ละหนึ่ง เห็นมี คิดมี จำมี "รู้ธรรมะ" นั้นแล้วหรือยัง?
ต้องเป็นผู้ตรงอีก ไม่ใช่ว่าฟังเผินๆ แล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวไปทั้งหมด แต่ต้องตรงแม้แต่คำว่า ธรรมะ มี แล้ว "รู้แจ้ง" เข้าใจสภาพธรรมะนั้นหรือยัง? ถ้ายัง ก็คือ "ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง" ให้เข้าใจขึ้น!! ถ้ามีความสงสัย ไม่เข้าใจ สนทนากัน เพื่อที่จะได้ ค่อยๆ พิจารณาความจริงว่า สิ่งที่มีจริง ตรงตามที่ได้ทรงแสดงหรือเปล่า? ไม่ใช่เป็นคนใจร้อน รีบร้อน อยากจะปฏิบัติธรรมะ แต่ไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร?
จะเดินจงกรม นั่งสมาธิ วันนี้ก็มีเด็กคนหนึ่งไปทำสมาธิแล้วก็เดินจงกรม ก็บอกเขาไหนทำสมาธิให้ดูสิ ไหนเดินจงกรมให้ดูสิ เขาก็นั่งทำสมาธิ แล้วก็เดิน ถามเขาว่ารู้อะไร? ก็ไม่รู้อะไร บอกว่าสงบ สงบเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ นี่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!
ต้องตรงไหม? การที่จะเป็น "ชาวพุทธ" การที่จะนมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาคุณของพระองค์ต้องตรง!! สิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ถูก!! สิ่งทีผิด..ผิด!! และสิ่งที่ถูก..ถูก!! จะละสิ่งที่ผิดไหม? ถ้าไม่ละ ก็คือผู้ที่ไม่ตรง!!!
เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใครได้เลย ทั้งสิ้น เพราะว่าแต่ละหนึ่ง ก็เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป ใครจะเปลี่ยนแปลงได้? แต่ความคิดที่จะเปลี่ยนคนอื่น ถูกไหม? เป็นไปไม่ได้แล้วคิดทำไม?
แต่สามารถที่จะให้ผู้ที่ไม่รู้ ได้รู้ เมื่อได้ฟัง แต่ว่า..เขาต้องคิด ต้องพิจารณา ไม่ใช่ฟังแล้วจำ แล้วไม่รู้ เช่นบอกว่า เดินจงกรมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร? แล้วก็เดินกันใหญ่ ก็คือว่า อาจจะเอามือกุมไว้ข้างหน้า แล้วก็เดิน ก็หลายรูปแบบ แล้วแต่ว่าจะเดินอย่างไร แต่ จังกัมมะ ในภาษาบาลี คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องชัดเจน!! ต้องเข้าใจคำที่ได้ยิน ต้องเข้าใจคำที่พูดตาม และต้องตรงต่อการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า สิ่งที่พระองค์ได้ตรัสแล้ว สามารถที่จะ อบรม เจริญความรู้ ความเห็นถูก ให้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งรู้จริง อย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ได้!!!
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ได้ยินคำไหน "ปฏิบัติธรรมะ" ปฏิบัติคืออะไร? ธรรมะคืออะไร? แล้วจะบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติธรรมะ ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งสมาธิ??? ไม่ได้บูชาพระคุณเลย เพราะเหตุว่า "ไม่รู้จักคุณ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 307
ข้อความบางตอนจาก มหาปรินิพพานสูตร
.....ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ไม้สาละทั้งคู่ เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต. แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์. . . แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์. . . แม้ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่า. . .แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ ย่อมเป็นไปในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต
ดูก่อนอานนท์ พระตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อมด้วยเครื่องสักการะประมาณเท่านี้หามิได้ ผู้ใดแลจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ พระพฤติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่.
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑- หน้าที่ 320-322
ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว์า ดูก่อนอานนท์บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วง แล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัย อันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
พระปัจฉิมวาจา
[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
.........
ขอเชิญคลิกชมบันทึกการถ่ายทอดสดการสนทนาธรรมย้อนหลังได้ที่นี่...