ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  12 มิ.ย. 2560
หมายเลข  28905
อ่าน  2,535

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพุธ ที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากร ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อ.วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากคุณสัมพันธ์ และ คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

จากที่เคยกล่าวถึงคุณสัมพันธ์และคุณนวรัตน์ (คุณแป๊ว) ไว้บ้างแล้วใน ณ กาลครั้งหนึ่ง ครั้งก่อนๆ ที่บันทึกการสนทนาธรรมที่นี่ไว้ (ท่านที่สนใจสามารถคลิกชมได้ตามลิงค์ในตอนท้ายนะครับ) ว่าท่านเจ้าภาพทั้งสองท่านซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ เป็นผู้ที่ศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์มานานแล้ว เฉพาะอย่างยิ่ง คุณสัมพันธ์ที่เล่าในที่สนทนาธรรมครั้งนี้ว่ามีความสนใจศึกษาพระอภิธรรมมาแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ ซึ่งต่อมาไม่นานก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนว่า หากอยากเข้าใจพระอภิธรรมโดยลึกซึ้ง ต้องฟังท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยาย จากนั้นจึงเป็นผู้ที่ฟังท่านอาจารย์บรรยายมาโดยตลอด จนปัจจุบัน

คุณสัมพันธ์ได้ปรารภเพิ่มเติมในที่สนทนาครั้งนี้ว่า แม้จะได้ฟังท่านอาจารย์มานาน แต่ก็เพิ่งเริ่มมีความเข้าใจจริงๆ ในคำว่าธรรมะ เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งท่านอาจารย์เพียรเน้นมาโดยตลอดว่า การศึกษาธรรมะ ต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจที่ถูกต้องของคำว่า "ธรรมะ คือ อะไร" ก่อนเป็นประการแรก หากไม่เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมะคืออะไร และธรรมะอยู่ที่ไหนในขณะนี้ การที่จะได้ฟังและเข้าใจในคำอื่นๆ ต่อไปย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมะที่จะได้ยินได้ฟังต่อๆ ไปนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ไหนเลย แต่กำลังมี กำลังปรากฏในทุกๆ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เอง!!! ซึ่งคุณสัมพันธ์กล่าวว่า กว่าที่จะได้เข้าใจจริงๆ ก็เป็นเวลาที่นานมาก นี่เป็นสิ่งซึ่งเตือนใจผู้ที่ศึกษาพระธรรมว่า พระธรรมละเอียดลึกซึ้ง และยากที่จะเข้าใจได้ จึงเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ นอบน้อมในพระธรรม ด้วยความไม่ประมาท

ทั้งมีคำเตือนด้วยเมตตาจากท่านอาจารย์ที่ควรเก็บไว้ในหทัยว่า "เมื่อเข้าใจแล้วก็อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว" จึงเป็นผู้ที่ฟังอีกและฟังอีก บ่อยๆ เนืองๆ จนความเข้าใจนั้นแนบแน่นมั่นคงอยู่ในใจ ซึ่งจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มีการปรุงแต่งของสังขารขันธ์เกิดขึ้น มีการระลึกรู้ สังเกตุ สำเหนียกในธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปด้วยความเป็นอนัตตา และโดยความเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ นั่นเอง ผู้ที่ศึกษาและเข้าใจพระธรรม จึงไม่เข้าใจผิด เพราะรู้และเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ต้องไปแสวงธรรมะที่ไหนเลย ขณะนี้ ธรรมะกำลังมี กำลังปรากฏ แต่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการฟังและเข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง นี่คือความละเอียดลึกซึ้ง ที่ผู้ที่ได้ฟัง ย่อมไม่เพียงฟังเผินๆ ผ่านไป โดยขาดการพิจารณา ไตร่ตรอง จนมีความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้ที่เข้าใจพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง ตรงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะเป็นผู้ที่จะมีหนทางเป็นไปในสังสารวัฏฏ์ที่ดีเป็นแน่แท้ เพราะเหตุที่ ผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม ย่อมเป็นผู้ที่มีชีวิตประจำวัน น้อมไปสู่กุศลธรรมความดีทุกประการ มากขึ้นๆ ตามกำลังของความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น จากการได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ซึ่งกุศลกรรมที่กระทำแล้ว ย่อมให้ผลเป็นสุขไม่เพียงในปัจจุบันชาติ แต่จะเป็นที่พึ่งในอนาคตกาลข้างหน้าแก่บุคคลอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ผลที่ดี ย่อมมาจากเหตุที่ดี ตามที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ผู้ที่มีความเข้าใจธรรมะ จึงเป็นผู้ที่กระทำความดีและเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลใดๆ เลย เพราะเหตุที่รู้และเข้าใจจริงๆ แล้วว่า เหตุที่ดี ย่อมนำมาซึ่งผลที่ดีแน่นอน ด้วยเหตุนี้ การทำความดีและการให้ของผู้ที่เข้าใจธรรมะ จึงเป็นการทำความดีและการให้ที่บริสุทธิ์ ปราศจากความติดข้องในผลที่จะเกิดขึ้น ด้วยประการดังนี้

ผู้ที่ศึกษาและเข้าใจพระธรรม จึงมีชีวิตประจำวันที่เป็นไปโดยความเป็นปกติ ไม่เป็นผู้ที่ผิดปกติโดยคิดว่าศึกษาพระธรรมแล้วต้องเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งที่จะพยายามเป็นผู้ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ซึ่งเป็นการคิดการกระทำที่ผิด ด้วยความติดข้อง ด้วยความเป็นเรา ไม่ใช่ด้วยปัญญาที่เห็นโทษและค่อยๆ ละคลายไป ทีละเล็ก ทีละน้อย จากความเข้าใจพระธรรมที่เพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย เช่นกัน จึงเป็นผู้ที่อาจหาญ ร่าเริง อบรมเจริญปัญญา ท่ามกลางอกุศลนานานาประการในชีวิตประจำวัน ด้วยความเป็นปกติ ด้วยความเข้าใจที่แนบแน่นมั่นคงขึ้นว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไป ล้วนแต่ "เป็นธรรมะ" และ "ไม่ใช่เรา"

มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายแทนผู้ที่กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรม ด้วยเพียงคิดว่าเป็นการจะได้ฟังท่านอาจารย์บรรยายเรื่องราวของพระอภิธรรม เพื่อจะนำไปประกอบกับการปฏิบัติธรรม หรือเพียงคิดว่า เป็นหนึ่งสิ่งในหลายๆ หนทางของการที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนา แม้ว่าจะได้ฟังอยู่นานนับชั่วโมง นานตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นผู้ที่ "เริ่ม" มีความเข้าใจจริงๆ ในพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงได้ เพราะเหตุที่ไม่เป็นผู้ที่มีการฟังโดยแยบคาย และประการสำคัญที่สุดคือไม่เป็นผู้ที่ตรง คือ ตรงต่อสภาพธรรมะ กล่าวคือ ไม่ยอมทิ้งความคิดเห็นและการกระทำที่ผิด ที่ได้เคยกระทำ และยังกระทำอยู่ แม้จะได้ฟังว่าสิ่งใดเป็นหนทาง สิ่งใดไม่ใช่หนทาง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังคิดเอาเองที่จะรวมๆ กันไป ไม่แยกแยะ ทิ้งขยะที่เคยขนมามากมายเหล่านั้นไป น่าเสียดายโอกาสที่ได้ฟัง แต่ไม่เป็นผู้ที่ละเอียดและตรง จึงไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือ ความเห็นที่ผิดไปจากพระธรรมคำสอน เพราะความไม่ละเอียดและไม่ตรงนั้น จะเป็นเหตุให้ในอนาคตกาลข้างหน้า แม้ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่ไปเฝ้าและฟังคำของพระองค์ เฉกเช่นพวกเดียรถีย์ทั้งหลายในครั้งพุทธกาล เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นพระคุณนามที่เกิดจากพระปัญญา ซึ่งเป็นธรรมะ หาใช่บุคคลใดเลยไม่ ผู้ไม่มีปัญญา จะรู้ว่าใครเป็นผู้มีปัญญาได้ฉันใด? แต่สำหรับครอบครัวของคุณสัมพันธ์ และคุณนวรัตน์ พร้อมทั้งลูกชายคนเดียวของท่านทั้งสอง เป็นครอบครัวที่น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งในการที่ได้พบและเดินบนหนทางนี้จริงๆ ครับ

การที่ได้เห็นครอบครัวใดก็ตาม ที่นอกจากจะมีความมั่งคั่งพรั่งพร้อมด้วยสรรพสิ่งที่เป็นที่พึงปรารถนา ซึ่งไม่เพียงพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์และบริวารเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่ได้ทรัพย์คือความเข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ ในสากลจักรวาล เป็นทรัพย์ที่มีค่าที่สุดสำหรับการได้เกิดมาในชาตินี้ และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ได้พบ เกิดความรู้สึกปีติยินดีและรู้สึกอนุโมทนาด้วยใจจริง เพราะเหตุว่า ผู้ที่เข้าใจพระธรรม ย่อมเป็นผู้ที่ไม่เพียงได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ที่มีอยู่นั้นอย่างคุ้มค่า เพื่อให้ได้อริยทรัพย์ที่มีค่าสูงสุดในสากลจักรวาลแต่เพียงผู้เดียวก็หาไม่ แต่ย่อมเป็นผู้ที่ใช้ทรัพย์ที่มีอยู่นั้น อุปการะ เกื้อกูล แก่ผู้อื่น ให้มีส่วนแห่งการได้รับทรัพย์ที่มีค่ายิ่ง คือ ความเข้าใจพระธรรมนั้นด้วย จึงเป็นผู้ที่ควรแก่การอนุโมทนาด้วยใจอันปีติชื่นชมในกุศลศรัทธาและกุศลเจตนาของท่านเหล่านั้น ด้วยประการดังนี้

ข้อความการสนทนาธรรมที่ข้าพเจ้าจะขออนุญาตถอดความมานำเสนอให้ทุกท่านได้พิจารณาในคราวนี้ เป็นช่วงที่ท่านอาจารย์กล่าวนำไปสู่ความจริงว่า พระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้นั้น ยาก ละเอียด และลึกซึ้งอย่างไร เพราะแม้กำลังมี กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้โดยง่าย ผู้ที่จะมีความเข้าใจพระธรรมได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และที่ประทับใจข้าพเจ้ามาก คือ ท่านได้แสดงว่า ผู้ที่ละเอียดนั้น ย่อมเป็นผู้ที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดในชีวิตประจำวันนี้เองที่สังเกตุได้ ทำให้เข้าใจและมั่นคงขึ้น ในความเป็นจริงว่า ชีวิตประจำวัน หามีสัตว์บุคคลตัวตนใดเกิดขึ้น เป็นไปไม่ มีเพียงจิตและเจตสิก ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เท่านั้น

การที่กล่าวว่าบุคคลนั้น บุคคลนี้ มีความสามารถมากมาย เก่งกล้าสามารถ อย่างนั้นอย่างนี้ สามารถบริหารจัดการงานต่างๆ ได้สำเร็จเรียบร้อย การทั้งหมดทั้งหลายเหล่านั้นจะสำเร็จด้วยดีไม่ได้เลย ถ้าปราศจากความละเอียดในทุกรายละเอียด ซึ่งก็ต้องอาศัยความละเอียดของการเป็นผู้ที่สะสมมาในความละเอียด ในทุกรายละเอียดนั่นเอง และเพราะเหตุที่ธรรมะที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ผู้ที่จะเข้าใจธรรมะ จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ไม่ใช่เป็นผู้ฟังเผินๆ ผ่านไป โดยไม่มีการคิด พิจารณา ไตร่ตรอง ด้วยความละเอียด รอบคอบ ในคำแต่ละคำที่ได้ฟัง

อ.คำปั่น ในเรื่องของความเป็นจริงของธรรมะ กราบท่านอาจารย์ครับว่า การสนทนาธรรมะก็คือ เป็นการสนทนาในสิ่งที่มีจริง เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เวลาที่สนทนากันก็กล่าวถึง "เห็น" กล่าวถึง "ได้ยิน" กล่าวถึง "ความติดข้อง" กล่าวถึง ความโกรธ" เป็นต้น

ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดามากในชีวิตประจำวัน แต่ความยาก อยู่ตรงไหนครับท่านอาจารย์ครับ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง กว่าที่จะทรงตรัสรู้ธรรมะตามความเป็นจริง เพื่อที่จะตรัสรู้ในสิ่งที่มีจริงเหล่านี้ ก็ทรงใช้เวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัป ในความยากของพระธรรม ในความยากของสิ่งที่มีจริง คือ อย่างไร? ครับท่านอาจารย์ครับ กราบท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ง่ายที่สุดก็คือว่า แม้กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้!! ยากที่สุดไหม? จะกล่าวว่ายากอย่างไร? ก็คือ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างมีจริงทั้งหมด แต่ก็ไม่รู้!!!

อ.คำปั่น ท่านอาจารย์กล่าวว่า "เห็น" ขณะนี้ก็ไม่รู้ พอได้ยินคำว่า "เห็น" ก็คิดตามว่า ขณะนี้กำลังเห็น ก็เป็นเราที่คิดตามอย่างนั้น แล้วก็เป็นเราที่เห็นอย่างนั้นครับท่านอาจารย์ครับ ก็ยากโดยตลอดเพราะว่าไม่รู้ความจริงครับ

ท่านอาจารย์ มีทุกอย่าง จริงทุกอย่าง แต่ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง!! เพราะฉะนั้น จะลึกซึ้งแค่ไหน? สุดที่จะประมาณได้!! เพราะว่าการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง เป็นจริงทุกคำ พิจารณาตามเข้าใจได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้ง ตรงตามที่ได้ฟัง เพราะแค่ฟัง ขณะนี้สภาพธรรมะกำลังเกิดดับ ใครรู้? เกิดดับสืบต่อเร็ว จนเหมือนไม่ดับเลย ใครรู้? อย่างนี้จะไม่ยาก อย่างนี้จะไม่ลึกซึ้งหรือ?

ผศ.อรรณพ ฟังอย่างนี้ ความเป็นตัวตนที่มากมาย แม้ยอมรับว่า ยากคือเดี๋ยวนี้ มีแต่ก็ไม่รู้ เมื่อตอนช่วงพักก็คุยกับสหายธรรม พอได้ยินอย่างนี้ก็มีความรู้สึกว่า แล้วเมื่อไหร่จะรู้? เพราะรู้ได้ยาก ก็มีความอยาก มีความเป็นตัวตน ที่คิดว่า ธรรมะนี้ยากจะรู้ อันนี้ยอมรับ แล้วก็คิดว่า แล้วเมื่อไหร่จะได้รู้สิ่งที่ยากอย่างนี้เสียที

ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่จะรู้? ก็ไม่รู้แล้ว ว่าขณะนั้น เพราะไม่รู้!!

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ถ้าเปรียบเทียบเหมือนการเดินทาง กับดักเยอะมากครับท่านอาจารย์ ที่คุยกันนี้ก็เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ แล้วก็น้อมรับในความจริงว่า ธรรมะมีในขณะนี้ ยาก ที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ว่า ลึกซึ้ง คือ มีอยู่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ ยากที่จะรู้ แล้วก็มีความคิดต่อไป ด้วยความเป็นเราว่า แล้วอย่างไรจะได้รู้เสียที

ท่านอาจารย์ ก็เห็นความละเอียดนะคะ เห็นความจริงว่า แม้ขณะที่พูดว่า "แล้วเมื่อไหร่จะรู้" ก็ไม่รู้ว่า "ขณะนั้น" คือ อะไร? ที่พูดอย่างนั้น! ที่คิดอย่างนั้น!! เห็นไหม? แต่ว่า "แล้วเมื่อไหร่จะรู้" คือ อะไร? ไม่รู้เลย!! ว่าขณะนั้น แล้วเมื่อไหร่จะรู้? คือ อะไร? เป็นเราหรือ? เมื่อเช้านี้ถ้าไม่ลืมว่าเป็นธรรมะทุกอย่าง ก็คือ ขณะนั้นเป็นธรรมะซึ่ง ไม่รู้ว่าอะไร ยังไม่รู้ว่าอะไร? เพราะฉะนั้น "ความไม่รู้" เต็มหมดเลย กว่าจะค่อยๆ หมดไปได้ ทีละเล็ก ทีละน้อย คิดได้อย่างไรว่า "รู้แล้ว" ไม่มีทาง!!!

ผศ.อรรณพ ถ้าฟังอย่างนี้ ความเหนียวแน่นของความเป็นตัวตน ด้วยความอยากให้ตัวเองพ้นพ้นพ้นไปจากความไม่รู้ ยิ่งท่านอาจารย์บอกว่า นี่ก็ไม่รู้ซ้อนเข้าไปอีก ก็ยิ่ง โอ้โฮ ... แล้วเมื่อไหร่จะพ้นไปจากความไม่รู้ไปอีก
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ จึงเป็นตัวตน แล้วก็มีตัวตนที่อยากจะรู้ เพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ที่ไม่รู้ เมื่อกี้นี้รับประทานอาหารใช่ไหม? เป็นธรรมะหรือเปล่า?

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์จะให้ผมตอบอย่างไรครับ? ตอบว่า การฟังก็เป็นธรรมะ แต่ตอนที่รับประทาน ผมก็ว่าเป็นข้าวเหนียวทุเรียน ไม่ได้คิดถึงธรรมะครับท่านอาจารย์ (หัวเราะกันครืน) อันนี้ตอบตามความเป็นจริง ทุกคนก็คงจะต้องเป็นแบบนี้
ท่านอาจารย์ ใช่ ยากไหม? ที่จะรู้ว่าเป็นธรรมะ!!
ผศ.อรรณพ ยาก

ท่านอาจารย์ ข้าวเหนียวทุเรียน ธรรมะหมดเลย!! ตั้งเท่าไหร่? ข้าว แล้วยัง ข้าวเหนียว ใช่ไหม? แล้วก็ยัง ทุเรียนอีก แต่ว่านี่ก็ยังหยาบมาก รวมกันแล้ว เป็นข้าวเหนียวทุเรียน แต่ว่า ธรรมะจริงๆ เกิดดับละเอียดยิบ สุดที่จะประมาณได้!! เพราะการเกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่ปรากฏว่าข้าวเหนียวดับ ทุเรียนดับ อะไรก็ไม่ดับไปเลยสักอย่าง นี่คือความลึกซึ้งของธรรมะ ซึ่ง ทำไมบุคคลอื่นถึงรู้ได้!! ไม่ใช่แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว เมื่อได้ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ทำไมคนอื่นรู้ได้?

เพราะว่าได้อบรม ความที่ได้ฟังพระธรรมและเห็นประโยชน์ แล้วไม่ท้อถอยเลย เริ่มเข้าใจคำว่า "บารมี" ซึ่งภาษาบาลี เป็น ปารมี ธรรมะที่ทำให้ถึงฝั่ง ปาร คือ ฝั่ง เราอยู่ฝั่งกิเลส อีกฝั่งหนึ่ง พระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่มีกิเลสเลย!! และผู้ที่ จากฝั่งนี้ กว่าจะไปถึง ฝั่งนั้น ไกลแสนไกล ... มองเห็นทะเลสุดสายตา ... ถ้ายืนอยู่ที่ชายฝั่ง ไม่มีทางที่จะเห็นว่า ฝั่งโน้นอยู่ที่ไหน แต่ว่า อวิชชามากกว่านั้น!!! คิดดู!! เอามหาสมุทรมารวมกันกี่มหาสมุทร ทั้งโลกทั้งจักรวาล ก็ยังไม่เท่าอวิชชา เพราะว่าเป็นธาตุหรือธรรมะซึ่งเกิดไม่รู้ จะให้ธาตุนี้รู้ไม่ได้เลย มีจริงๆ กำลังไม่รู้!!! เป็นธรรมะชนิดหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นธรรมะ เว้นไม่ได้!! แม้แต่ความไม่รู้ก็เป็นธรรมะ!! นี่คือ เริ่มเป็นคนที่มั่นคงว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร แต่มีธรรมะ!!! แต่แม้คำที่พูดว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังเข้าใจนานมาก มั่นคงจริงๆ ถึงจะกล่าวคำนี้ได้ว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร เพราะว่าสามารถที่จะกล่าวชี้แจงได้ว่า ไม่มีจริงๆ เพราะอะไร ไม่มีเสียง แล้วมีเสียง แล้วเสียงหายไปไหน? ไม่มีแล้วใช่ไหม? จากไม่มีแล้วเกิดเสียง แล้วไม่มี ก็เหมือนไม่เคยมีมาก่อน เพียงแต่ว่ามี เพื่ออะไร? ไม่รู้ ติดข้อง เกิดดับ สืบต่อ ปรากฏ เร็วมาก!! แล้วจะให้ไปไม่รู้อะไร? ไม่พอใจอะไร? ก็ต้องไม่รู้สิ่งที่มี!! แล้วก็พอใจในสิ่งที่มี เพราะไม่รู้!!

มีใคร "ชอบ" เสียง ไหม? มีใคร "ไม่ชอบ" เสียงไหม? ก็ไม่มีใคร นอกจาก "ชอบ" เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง "ไม่ชอบ" เป็นธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ทั้งวันเป็นธรรมะหมด ก็ลืมไปเรื่อย อาหารเช้าก็ลืมว่าเป็นธรรมะ อาหารกลางวันก็ลืมว่าเป็นธรรมะ นั่งอยู่ตรงนี้ ก็ยังลืมเลย!! เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ลึกซึ้งแค่ไหน? และต้องอาศัยกาลเวลา ด้วยความเป็นผู้ตรงจริงๆ "สัจจะบารมี" ไม่หลอก ไม่ลวง ถ้ารู้แค่ไหนก็คือแค่นั้น รู้แค่นิดเดียว จะให้มากก็ไม่ได้!! "เมื่อไหร่เราจะรู้" นี่ผิดเลย!! แสดงว่าคนนั้น ไม่ได้เข้าใจธรรมะ!! ถ้าเข้าใจธรรมะแล้ว มีหรือ? ที่จะกล่าวว่า เมื่อไหร่จะรู้? ก็เดี๋ยวนี้ไม่รู้!! แล้วเมื่อไหร่จะรู้? ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้!!! ถ้าไม่เริ่มเข้าใจเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ รู้เดี๋ยวนี้!! แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงที่เป็นอริยสัจจะ

ก็เป็นเรื่องที่จะต้อง "ตรง" แต่ว่าไม่ท้อถอย เพราะรู้ว่า สิ่งนี้มี ทำไมจะรู้ไม่ได้!! ไปให้สิ่งที่ไม่มี พยายามไปทำให้รู้ อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไร? เมื่อไม่มี!! แต่สิ่งนี้กำลังมีจริงๆ ชัดเจน!! รู้ได้แน่!! แต่ว่าไม่ใช่ด้วย "ความเป็นเรา" ที่อยากจะรู้ แต่ต้องเป็นผู้ตรงว่า เมื่อเข้าใจขึ้น ก็ละความไม่เข้าใจไปหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวนี้มีข้าวเหนียวทุเรียนไหม? คะ?

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ จริงๆ แล้ว บางทีฟังก็ชื่นชมโสมนัสท่านอาจารย์ครับว่า ข้าวเหนียวทุเรียน ท่านอาจารย์ยังมาพูดให้เป็นธรรมะได้ บางทีคิดอย่างนี้ แต่จริงๆ เพราะมีธรรมะแต่ละอย่าง จึงมีการสมมติว่าเป็นข้าวเหนียวทุเรียน เพราะมีสี มีกลิ่น มีรสแบบนี้ ก็เลยมีการสมมติว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้น

ท่านอาจารย์ครับ ตอนนี้ผมเปลี่ยนประเด็นนิดหนึ่ง เพราะว่าเป็นเรื่องสำคัญ คือว่า การที่จะรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมะ เป็นผลของการฟังธรรมะสะสมมา จนปรุงแต่งให้มีความมั่นคงของความเข้าใจที่จะเป็นความเป็นไปของสติปัญญาที่จะเกิดขึ้นรู้ลักษณะสภาพธรรมะ

ประเด็นคำถามคือ แต่ว่าลดลงมาเป็นระดับขั้นฟัง ถ้าความเป็นตัวตนก็ยังเหมือนคอยบอก คอยกระซิบว่า นี่ก็เป็นเราที่มาฟัง ถ้าเราไม่ตั้งใจมาฟังธรรมะวันนี้ ก็ไม่ได้มาฟังที่อัมพวา ก็ดูเหมือนกับมีความเป็นเราที่ตั้งใจมาฟังธรรมะ จริงๆ แล้วเป็นธรรมะไม่ใช่เราที่ตั้งใจอย่างไรครับ?

ท่านอาจารย์ ค่ะ เยอะมากเลยที่ถาม (หัวเราะ) ตั้งต้นใหม่ได้ไหม?
ผศ.อรรณพ ได้ครับ ว่าที่มาฟังธรรมะที่นี่ ก็ด้วยความตั้งใจที่เรามาฟังไม่ใช่หรือ? เรื่องสติปัฏฐานเราไม่พูด เพราะอันนั้น มีเหตุปัจจัยจึงจะเกิด
ท่านอาจารย์ เหมือนที่พูดเมื่อกี้หรือเปล่าคะ?
ผศ.อรรณพ อันนี้ผมตัดประเด็น ตัดประเด็นมาว่า ฟังตอนนี้ก็ดูเหมือนเป็นเราที่มาฟัง

ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ถ้าเราศึกษาธรรมะทีละคำ เราจะรู้เลยว่า ถ้าเราไม่รีบร้อนไปไหน เราจะเข้าใจละเอียดขึ้น แต่ถ้าเราพูด แล้วเราหวังจะเข้าใจโน่นนี่ นี่นั่น แต่ตอนต้นเรายังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามทุกอย่าง ถ้าจะรู้จริงๆ ก็คือว่า ต้องเป็นคนที่ละเอียด พูดแค่นี้ "ต้องเป็นคนที่ละเอียด" เหมือนกับว่า เวลาฟังธรรมะต้องละเอียด ใช่ไหม? แต่ว่า ชีวิตประจำวัน ก็ยังต้องละเอียด ถ้าชีวิตประจำวันไม่ละเอียด ฟังธรรมะจะละเอียดได้อย่างไร?

ทั้งหมด เกี่ยวโยงกันไปหมด!! เราจะไม่รู้เลยว่า แต่ละคน ที่มีอุปนิสัยต่างกัน ละเอียดบ้าง ไม่ละเอียดบ้าง หยาบบ้าง อะไรบ้างก็แล้วแต่ ทั้งหมดมาจากสิ่งละอันพันละน้อยทั้งหมดเลย ในทุกกรณี เพราะฉะนั้น บางคนก็คิดว่า ฟังธรรมะ จะเข้าใจตรงนี้ อยากเข้าใจตรงนี้เลย ละเอียดพอไหม? ที่จะรู้ว่า ก่อนที่เราต้องการจะไปถึงตรงนั้น เราเข้าใจก่อนนั้นหรือเปล่า? ในความละเอียด และยังจะต้องรู้ด้วยว่า ธรรมะคือชีวิตประจำวัน เราละเอียดพอ ในเรื่องอื่นไหม? ถ้าในเรื่องอื่นยังไม่ละเอียด คิดหรือ? ว่าเวลาฟังธรรมะ เราจะละเอียด???

นี่ก็เป็นสิ่งซึ่ง ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยมากทุกคนหวังผลว่า ฟังธรรมะจะได้เป็นพระโสดาบัน ฟังธรรมะจะได้รู้นั่น รู้นี่ แต่ ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจถูก ว่าเดี๋ยวนี้ เข้าใจสิ่งที่มีแค่ไหน? เพราะฉะนั้น กล่าวไปถึงว่า แล้วเมื่อไหร่จะรู้ หรือพยายามหาทางที่จะรู้ ทั้งหมดเป็นไปไม่ได้!! เพราะไม่ใช่หนทางจริงๆ หนทางจริงๆ คือ "ไม่ใช่เรา" แล้วก็เป็นธรรมะหลากหลายมาก รูปธรรม ไม่สามารถรู้อะไรได้ เพราะฉะนั้น สภาพรู้ทั้งหมด หลากหลายนี้ จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน หมายความว่า "รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ" ถ้าถามว่าเห็นอะไร? ตอบว่า เห็นดอกไม้ จิตเห็น แล้วก็สิ่งที่กำลังปรากฏทางหู ได้ยินเสียง ก็เป็นจิตที่ได้ยิน ขณะนั้นเป็นแต่ละหนึ่งขณะของสภาพธรรมะ ที่เกิดดับสืบต่อ เป็นใหญ่เป็นประธาน

แต่เห็นแล้วเกิดอะไรขึ้น? ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ความขยัน ความเพียร อะไรทั้งหมดอื่นใดทั้งสิ้น เป็นเจตสิกแต่ละหนึ่ง ซึ่งเจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท เมื่อกี้นี้มีความอยากรู้ไหมว่า เมื่อไหร่จะรู้? เจตสิกหนึ่งแล้ว โลภเจตสิก เพราะฉะนั้น ใครพูด? พูดเพราะอะไร? เห็นไหม? ทุกอย่างต้องเป็นคนที่ละเอียดมาก แล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ชีวิตประจำวัน ไม่มีเราที่จะไปขวนขวาย ที่จะไปพยายามให้หมดกิเลส แต่ว่า ความเข้าใจ ค่อยๆ รู้ความจริง จึงจะสามารถละความเป็นตัวตนได้!!!

ถ้าพูดเผินๆ "ละเสีย" ง่ายไหม? ไม่ต้องไปยึดถือนามธรรม รูปธรรม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ของใคร ละเสีย!! พูดอย่างนี้ จะละได้ไหม? ไม่สามารถจะเป็นไปได้เลย!! เพราะไม่รู้ว่า ไม่รู้อะไร? และจะรู้ขึ้นได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทุกอย่าง ฟังแล้วก็ต้องรู้ตัวเอง หมายความว่า ที่สะสมมาว่าเป็นเรา เป็นอะไร? และมาจากไหน? และ ถ้ารู้ ก็คือ ไม่ใช่เรา!! ไม่รู้ก็ ไม่ใช่เรา!!

ค่อยๆ มั่นคงขึ้น!!! ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ก็จะไปพยายามแสวงหาหนทาง บางคนก็บอกว่า ถ้าไม่ฟังธรรมะก็ไม่เข้าใจ แค่นี้ก็ฟังใหญ่ เป็นอย่างไรคะ? ทั้งวัน ตอนเช้าก็ฟัง กลางวันก็ฟัง เย็นก็ฟัง ไม่ฟังไม่ได้ คุณพ่อไม่ฟังก็โกรธ (หัวเราะ) เป็นลูกที่ดี อยากจะให้คุณพ่อได้ฟังธรรมะมากๆ แต่ความจริงใครจะไปยับยั้งโลภะได้? ละเอียดกว่านั้นอีก กำลังอยากใช่ไหม? ให้คนอื่นฟัง!!

เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ไม่พ้นไปจากความไม่รู้และความติดข้อง จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย แล้วจึงรู้ว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงบำเพ็ญบารมีนานปานนั้น!!! ยิ่งด้วยปัญญา สี่อสงไขยแสนกัป กัป ไม่ใช่วันเดือนปี ไม่ใช่หนึ่งชาติ ไม่ใช่ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ สี่อสงไขยแสนกัป นานเท่าไหร่กว่าจะรู้อย่างที่ได้ตรัสไว้แล้ว ให้เราเข้าใจได้ว่า เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ เพราะพระองค์ได้ประจักษ์แจ้งอย่างนั้น!!!

เพราะฉะนั้น คนที่ฟังก็ประจักษ์แจ้งอย่างนั้นได้ วันหนึ่ง วันไหนไม่รู้ เพราะไม่ใช่เรา!!! แต่เพราะ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ทีละน้อย แล้วก็ "รู้ลักษณะของสภาพธรรมะ" ที่ "ไม่ใช่เรา" ซึ่งขณะนี้จิตเท่าไหร่? เกิดดับนับไม่ถ้วน พร้อมเจตสิกเท่าไหร่? เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าประเดี๋ยวเดียวเราก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้ แต่ต้อง ธรรมะมี และ ขั้นนี้ขั้นฟัง แต่ขั้นประจักษ์แจ้ง สามารถที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราจะทำ หรือเราจะขวนขวาย!!!

ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า ความละเอียด สำคัญอย่างไร? เพราะพระวินัยบัญญัติ ละเอียดแค่ไหน? ใครจะบัญญัติได้? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว ที่จะทรงบัญญัติสิกขาบทสำหรับพระภิกษุ สามเณร ที่จะอบรมเจริญปัญญา ในเพศของบรรพชิต แต่ละอัธยาศัย ก็เป็นธรรมะทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ฟังอย่างไร? ก็จะต้อง กว่าจะถึงวันหนึ่งซึ่ง "ทุกอย่างเป็นธรรมะ!!" และ "ทุกอย่าง" นี่ จะละเอียดสักแค่ไหน? ไม่ใช่เราข้ามเรื่องนี้ไป ข้ามเรื่องนั้นมา แต่ว่าทุกเรื่อง กล่าวถึงเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ให้สอดคล้องกันว่า แม้ความละเอียดในชีวิตประจำวัน ก็ขาดไม่ได้!! ม่อย่างนั้นทุกคนก็จะละเลย เอาแค่ธรรมะละเอียด แต่จะรู้ตัวเองว่า ละเอียดจริงหรือเปล่า? ก็ต่อเมื่อ ชีวิตประจำวัน นั่นต่างหาก!! ที่แสดงถึงความละเอียด ว่า ละเอียดแค่ไหน?

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
อนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณสัมพันธ์ คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล และครอบครัว
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมครั้งผ่านๆ มา ได้ที่นี่ ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม ๑๒ - ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม ๑๘ - ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม ๑๐-๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
napachant
วันที่ 13 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 14 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 15 มิ.ย. 2560

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 16 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 19 มิ.ย. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ