ปิติเกิดจากอะไรได้บ้าง ไม่ได้ทำสมาธิเกิดปิติได้ไหม
สวัสดีค่ะ อยากทราบเรื่องปิติค่ะ ถ้าเราอนุโมทนาบุญแล้วอธิษฐานต่อ เกิดอาการขนลุกตามลำตัว แขน ขา ไล่ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปทั้งตัวจนชาและเกร็งเกิดจากอะไรคะ หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบอกว่า เกิดจากปิติ บางคนบอกว่าเกิดจากจิตมีพลังรับรู้และสิ่งที่ทำลงไปนั้นสำเร็จ (เช่นสิ่งที่อนุโมทนานั้นสำเร็จหรือสิ่งที่เราอธิษฐานนั้นสำเร็จ) บางคนบอกว่าเกิดจากการเข้าสมาธิ ฌาน สำหรับผู้ปฏิบัติ แต่ส่วนตัวยังไม่เคยปฏิบัติค่ะห่างไกลอยู่มากแต่เคยได้ยินมาว่าสมาธิคือการทำจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เวลานั้นก็ไม่ได้สงบมากนะคะ เลยอยากทราบว่าถ้าเราไม่ได้เข้าสมาธิจะเกิดปิติได้ไหมและปิติเกิดจากอะไร คืออะไรคะ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเรื่องของอาการของระบบทางร่างกายค่ะ แต่มันติดอยู่ที่ว่าพอเริ่มอนุโมทนาคำแรกอยู่ๆ อาการก็เกิดขึ้นแบบที่บอกจนเกร็งเลยหยุดพูดแล้วพออธิษฐานต่ออาการมันก็บีบขึ้นมาอีกพอพูดจบอาการก็คลายลงแล้วหายไปเลยไม่เกิดอีกเลย เลยเกิดการสงสัยว่าทำไมมันพอดีกันเลยแค่ช่วงเวลานั้นๆ เท่านั้น (ก็เคยอนุโมทนาบุญมาก่อนด้วยใจจริงเหมือนกันแต่ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยค่ะเลยอยากทราบว่ามันเกิดจากอะไรเกิดจากจิตเราเข้มข้นมากจริงๆ หรือเปล่าคะ เราตั้งจิตมั่นมากไปและสิ่งที่ทำนั้นสำเร็จลงไปแล้วใช่ไหมคะ
ขอบคุณล่วงหน้าด้วยค่ะ หากผิดพลาดขออภัยไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรม ที่มีจริงในขณะนี้ แม้แต่ในเรื่องของปีติ ก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นความเอิบอิ่ม ปลาบปลื้มใจ เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ซึ่งจะเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้เพราะเหตุว่าปีติ เป็นปกิณณกเจตสิก เกิดได้กับจิตทั้ง ๔ ชาติเลย ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
ปีติเจตสิก เป็นเจตสิกที่ปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม ร่าเริง จึงเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาเท่านั้น ไม่เกิดร่วมกับเวทนาอื่นๆ เลย ปีติเจตสิก เกิดร่วมกับจิตที่มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ๕๑ ดวง คือ กามโสมนัสจิต ๑๘ ดวง, ปฐมฌานจิต ๑๑ ดวง, ทุติยฌานจิต ๑๑ ดวง, ตติยฌานจิต ๑๑ ดวง จิตที่มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วยนั้นมี ๑๑ ดวง คือ จตุตถฌานจิต ๑๑ ดวง ทั้งนี้เพราะจตุตถฌานจิตประณีตกว่าตติยฌาน ซึ่งมีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย
เพราะฉะนั้น ปีติ ก็มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะอาศัยการฟังพระธรรมที่เข้าใจก็เกิด ปีติ ได้ในขณะนั้น ซึ่งหนทางที่ถูกต้อง คือ การเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่เป็น ปีติ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในสมัยครั้งพุทธกาล ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เกิดความรู้ ความเข้าใจ เห็นจริงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงเกิดความปลื้มใจ ปีติ ยินดี เบิกบาน มีการชื่นชมพระดำรัสของพระองค์ว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกหนทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ นี้คือตัวอย่างของปีติที่เป็นไปกับกุศลธรรม ซึ่งในขณะนั้นสมาธิ ก็มีด้วย ไม่ต้องไปทำอะไรเลย เพราะสมาธิเกิดกับจิตทุกขณะอยู่แล้ว เป็นธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ที่เกิดความเบิกบานก็เพราะได้เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เกิดความซาบซึ้งเห็นตามความเป็นจริง ว่าสภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้น แต่ถ้าเป็นปีติที่เป็นไปกับอกุศล เช่น ได้ในสิ่งที่น่าพอใจมากๆ ก็เกิดปีติ ได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรม ต้องอาศัยคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ.
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...