ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ก็จะไม่ผิดต่อๆไป
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สรุปสาระสำคัญของการสนทนาธรรม
ที่บ้านธัมมะ ลำพูน
วันพุธที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐
____________________
~ เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ใครทำให้เกิดขึ้นได้ไหม? ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะเดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีใครรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ขันธ์ หมายถึงสิ่งที่เกิดแล้วดับ จากไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็หามีไม่
~ ขันธ์ ที่ไม่เกิดขึ้น ไม่มี เกิดขึ้นแล้ว ดับ แต่ไม่เข้าใจ จึงหลงผิดยึดถือในสิ่งที่ไม่มี ว่า ยังมี
~ ธรรม คิดเองไม่ได้ แต่ต้องได้อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ในโลกนี้มีแต่ธรรม ธรรมแต่ละหนึ่งมีลักษณะของตนซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นธาตุแต่ละหนึ่งๆ ทรงไว้ซึ่งความเป็นสิ่งนั้น เปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น ไม่ได้
~ ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีรูปขันธ์ไหม? ทรงมีรูปขันธ์, ทรงมีอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ไหม? ไม่มี
~ ยึดถือความเป็นเรามากี่ชาติในสังสารวัฏฏ์ นานแสนนาน และพึ่งจะได้ยินได้ฟัง ว่า ไม่ใช่เรา เพราะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ จึงค่อยๆ เริ่มสะสมความเข้าใจจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง
~ ก่อนฟังพระธรรม ไม่เข้าใจ สภาพที่เข้าใจ (ปัญญา) ยังไม่เกิด แต่ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ปัญญาก็เกิดแล้ว สภาพที่เข้าใจ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก ได้เริ่มเกิดขึ้น ซึ่งน้อยมาก
~ ปัญญาเกิดเองไม่ได้ แต่ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมด
~ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อไปทำอะไรทั้งสิ้น แต่ต้องเข้าใจถูกตามลำดับด้วย
~ ยุคนี้สมัยนี้ บางคนเข้าใจว่าสำนักปฏิบัติ คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกไหม? (ไม่ถูก) เมื่อสิ่งนั้นไม่ถูก กล้าไหมที่จะบอกว่าไม่ถูก หรือว่าเกรงใจเขา เกรงใจใคร เกรงใจความเห็นผิดหรือ? หวังดีหรือเปล่า? ถ้าเป็นคนที่ตรงจริงๆ ต้องให้เขาเข้าใจถูก ไม่ใช่ปล่อยให้ผิดไป
~ ใครจะเข้าใจผิดเท่าไหร่ ก็ปล่อยไป อย่างนั้นเป็นมิตรแท้ เป็นผู้หวังดี เป็นผู้ที่มีความเข้าใจถูกว่าอะไรควร อะไรไม่ควร หรือเปล่า? (ไม่ได้เป็นผู้ที่หวังดีเลย)
~ ถ้าเป็นผู้ที่หวังดีจริงๆ จะเป็นผู้ที่กล่าวคำที่ถูกต้องเพื่อให้เขาเข้าใจถูก เขาจะโกรธ เขาจะเกลียด เขาจะไม่ชอบ ไม่เห็นสำคัญเลย เขาไม่สามารถที่จะลบล้างความหวังดีของเราได้
~ ช่วยเขาให้พ้นจากความเข้าใจผิดทั้งชาติตามที่ได้สะสมความเข้าใจผิดมาแล้ว ไม่เคยได้เข้าใจถูกเลย แล้วเป็นประโยชน์มหาศาลไหม เพราะเหตุว่า ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ก็จะไม่ผิดต่อๆ ไป แต่ถ้ามีความเข้าใจผิดแต่ละชาติมาแล้ว และก็ยังมีความเข้าใจผิดต่อไปอีก ชาติหน้าก็ต้องผิดต่อไป
~ เกิดมาแล้วสิ่งที่เป็นมรดกเหนือสิ่งอื่นใดที่ได้จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ความเข้าใจ แล้วจะไม่ให้คนอื่นได้มีความเข้าใจด้วยหรือ ถ้าเขาสามารถที่จะฟังและพิจารณาไตร่ตรอง เขาก็ย่อมจะสามารถเข้าใจได้
~ กัลยาณมิตร (มิตรที่ดีงาม) เป็นผู้พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล ไม่รีรอเลย ทุกโอกาส ไม่หวังร้ายต่อใคร
~ เขาผิด แล้วให้เขาเข้าใจถูก เป็นประโยชน์เมื่อนั้น
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนที่ได้ฟังมีความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยพระมหากรุณา เพราะรู้ว่าสัตว์โลก ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงในขณะนี้ได้เลย ถ้าไม่ได้ยินคำที่พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งเขาได้เข้าใจ
~ เมื่อเข้าใจธรรมแล้ว อาจหาญร่าเริง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะกลัวอะไร พูดคำจริง พูดคำถูกด้วย จะกลัวอะไร
~ ในเมื่อเป็นความจริง ควรไหมที่จะให้คนอื่นได้รู้ด้วย
~ ธรรมทั้งหมด เป็นอภิธรรม เพราะละเอียดลึกซึ้ง
~ ไม่ใช่เรา เพราะมีแต่ธรรมที่เป็นจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และรูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด
~ กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง
~ เป็นทาสของโลภะ (ความติดข้อง) มานานแสนนาน ให้ทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็หามาให้ ตามโลภะ
~ สะสมความโกรธไว้มาก ที่จะไม่ให้มีความโกรธเกิดขึ้น ได้ไหม? ไม่ได้
~ มีกิเลสหลายระดับขั้นมาก อย่างหยาบรู้ได้เมื่อปรากฏออกมาทางกายหรือทางวาจา ถ้านั่งนิ่งโกรธ แต่ไม่พูด ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ว่าโกรธแค่ไหน แต่ถ้าพูดมาแต่ละครั้ง แสดงถึงความกล้าความแรงของกิเลส ว่า คำพูดที่พูดออกมาพูดด้วยกิเลสระดับไหน คำธรรมดาแต่เสียงไม่เหมือนเดิม เพราะอะไร? เพราะขณะนั้นจิตประกอบด้วยโทสะ เสียงก็เป็นไปตามโทสะ ชื่อธรรมดาๆ ก็ไม่เรียก มีคำเติมโน่น เติมนี่ออกมาด้วยกำลังของอกุศล
~ ความเข้าใจถูกเห็นถูกจากการที่ได้ยินได้ฟังพระธรรม จะทำให้สะสมสืบต่ออยู่ในจิตแต่ละขณะ จากวันนี้ที่ได้ฟังพระธรรม ต่อไปข้างหน้าก็จะได้ฟังอีก ก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก
~ ประเสริฐอย่างไรจึงเรียกว่า พระภิกษุ? เพราะเป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์
~ สมบัติในชาตินี้ก็ไม่ติดตามไปในชาติต่อไป แต่ดี ชั่ว ทั้งหมดในชาตินี้ต่างหากที่สะสมอยู่ในจิตที่จะค่อยๆ สะสมสืบต่อจากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่ง ทำให้อัธยาศัยของคนแตกต่างกัน
~ ความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้
~ จุติจิตเกิดขึ้นทำให้พ้นสภาพจากความเป็นบุคคลนี้อย่างสิ้นเชิง ถ้าจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป จะเป็นคนนี้อีกต่อไปไม่ได้ จะกลับมาเป็น (คนนี้) อีกสักขณะหนึ่ง ก็ไม่ได้.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ...
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ