ทำนองสวดมนต์
ผมอยากรู้ว่าการที่เราสวดมนต์ เราสวดในทำนองของตัวเราได้มั้ย ทำไม การสวดต้องมีทำนอง การสวดมนต์ มีเป้าหมายอย่างไร ทำไมพระเกือบทุกองค์ต้องคอยสวดตามทำนองคนอื่นด้วย ถ้ามีอะไรผิดพลาดขอให้อภัยแก่ผู้โง่เขลาด้วยครับ
ปล. พระที่วัดเค้าคุยกันว่าต้องสวดทำนองนี้นั้นถึงถูก แต่การสวดเป็นการพูดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนกันต่อมาใช่มั้ยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่ามนต์ก่อนครับ เพราะ มนต์ (ภาษาบาลี คือ มนฺต) หมายถึง ปัญญา บางครั้งก็มีคำว่า พุทธมนต์ (พระปัญญาของพระพุทธเจ้า) ด้วย และประการที่สำคัญ คือ มนต์ในทางพระพุทธศาสนา ต้องเป็นพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเท่านั้น เช่น พระสูตร ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย
การสวดมนต์จึงไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อขอพร จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นไปเพื่อได้ เพื่อติดข้อง ไม่เป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสวดมนต์โดยไม่เข้าใจ และ เพื่อหวังและอ้อนวอนเลย ครับ
ในความเป็นจริงแล้วในสมัยพุทธกาล บุคคลสมัยนั้ันต่างก็พูดเป็นภาษาบาลีกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำพูดเมื่อจะกล่าวสรรเสริญใคร ยกย่องบุคคลใด รวมทั้งอธิบายในสิ่งใดให้ผู้อื่นเข้าใจก็ใช้คำบาลี การสวดมนต์ที่ปัจจุบันสวดกันนั้นก็เป็นภาษาบาลี มีการกล่าวยกย่องสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เป็นต้น รวมทั้งเป็นบทพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสูตรต่างๆ ในปัจจุบันก็นำมาสวดกัน เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ การสวดมนต์ก็จะถูกต้อง คือ เป็นไปเพื่อการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ครับ ดังนั้นก็สามารถระลึกถึงพระธรรมเมื่อเข้าใจพระธรรม โดยไม่ต้องไปสวดเป็นทำนองเลย ครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่าน อ.สุจินต์ ดังนี้
ระลึกถึงพระพุทธคุณได้โดยไม่จำเป็นต้องท่อง
ผู้ถาม. มีบางท่าน ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า อิติปีโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ เป็นต้น แล้วก็สวดมนต์
ส. แล้วก็ อะไร นะคะ
ผู้ถาม. สวดมนต์ โดยที่ ไม่ได้ระลึกในลักษณะว่า พระผู้มีพระภาค เป็นผู้ตรัสรู้แล้ว เองโดยชอบ อะไรต่างๆ เหล่านี้ จะถือว่าเป็นผู้ที่อยู่ในวิหารธรรมข้อนี้ ไหมครับ
ส. เพียงสวด ใช่ไหมคะ
ผู้ถาม. ครับ
ส. มีใครสามารถรู้ถึงจิต ในขณะที่กำลังสวดของบุคคลอื่น ได้ไหม เมื่อไม่ได้ จึงควรศึกษาวาระจิตของตน เพราะเหตุว่า ไม่สามารถที่จะรู้วาระจิตของผู้อื่น เพราะฉะนั้น แต่ละท่าน นี่คะ ก็ควรที่จะเกิดสติ คือการระลึกได้ ว่าในขณะที่ท่อง หรือในขณะที่สวด เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล แต่ว่าจิต เป็นสภาพธรรม ที่ละเอียดมาก แล้วก็เกิด ดับ สืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ในการอบรมเจริญ แม้สมถะคือความสงบ ก็จะต้องประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ และ ปัญญาที่รู้ลักษณะของจิตในขณะนั้น ว่าเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ลองพูดสิคะ อิติปิโส ภควา พอที่จะรู้ลักษณะของจิตในขณะนั้นไหมคะ ว่าเป็นกุศล หรือเปล่า แต่ว่าเวลาที่ศึกษาพระธรรม แล้วก็เกิดความรู้ความเข้าใจในสภาพธรรม มีความซาบซึ้งในพระพุทธคุณที่พระผู้มีพระภาค ตรัสรู้ และ ทรงแสดงธรรม ในขณะนั้น ลักษณะของจิต ผ่องใส เพราะระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาค ในขณะนั้นไม่ได้ เอย คำว่า อิติปิโส ภควา แต่ว่าความรู้สึกเป็น อิติปีโส ภควา แม้เพราะเหตุนั้น แม้เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสรู้และทรงแสดงธรรม ที่ทำให้ผู้ศึกษาสามารถที่จะเกิดความเข้าใจ และเห็นพระพุทธคุณได้
ผู้ถาม. ถ้าเป็นในลักษณะนี้ ก็เท่ากับว่า อยู่ในวิหารธรรม
ส. ขณะใดที่เข้าใจ ธรรม ศึกษาโดยการอ่าน โดยการฟัง เกิดความซาบซึ้ง ปีติผ่องใส ระลึกถึงพระพุทธคุณ ในขณะนั้นเป็นพุทธานุสติ เป็นความสงบค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าต้องท่อง แต่เป็นความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะเห็นพระคุณของพระพุทธเจ้า ได้ไหมคะ อาจจะเกิดความเลื่อมใสเล็กๆ น้อยๆ ได้ ว่าเป็นผู้ที่ปราศจากกิเลส หรือ เป็นผู้ที่ควรเคารพ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ที่เกิดจากการสะสมบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่ยาวนาน และเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะเข้าใจแต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่มีความจริงใจตั้งใจที่จะศึกษา ซึ่งจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง โดยไม่ใช่เพียงสวด หรือ ท่องเท่านั้น จะต้องเป็นผู้มีความเข้าใจด้วย บทสวดมนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมงคลสูตร กรณียเมตตสูตร รัตนสูตร เป็นต้น ล้วนเป็นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาและเข้าใจอย่างถูกต้อง ถ้านำมาสวดหรือท่อง โดยไม่เข้าใจอะไรเลย หวังเพื่อได้แม้เพียงความสงบหรือเพื่อต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นการผิดตั้งแต่ต้น เป็นอกุศลตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน เพราะพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมดนั้น เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อความติดข้องต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ถ้าจะมองในมุมกลับ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สวด แต่ศึกษาแล้วน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ย่อมเป็นประโยชน์กว่าอย่างแท้จริง แม้แต่คำว่า "สวด" ซึ่งเป็นคำไทย ก็ยังต้องแปลไทยเป็นไทยอีก เพื่อจะได้สอดคล้องตรงกับความหมายเดิมในภาษาบาลี คือ มาจากคำว่า "สาธยาย [สชฺฌาย]" หมายถึง การกล่าวทบทวน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามพระธรรม เมื่อได้ฟังแล้ว ก็มีการทบทวนด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อได้ฟังแล้ว อย่างไรจึงจะไม่ลืม ก็ด้วยการทบทวนไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง นั่นเอง
และที่ควรพิจารณาอีกประการหนึ่ง คือ ในสมัยปัจจุบันนี้ มีบทสวดต่างๆ หลายบทที่มีการแต่งขึ้นในภายหลัง ซึ่งไม่ใช่พระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงก็ไม่ใช่ มนต์ ถึงแม้ว่าจะมีการนำคำว่า มนต์ มาใช้ ก็ตาม พระธรรม อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จึงควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้ศึกษา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง ต่อไป ยิ่งฟังพระธรรม ก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นพระมหากรุณาคุณของพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ไม่มีทางเลยที่สัตว์โลกจะได้เข้าใจความจริง ในฐานะของสาวก ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนจะพึงได้ คือความเข้าใจถูกเห็นถูกจากการได้ฟังคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...