รอคอยใครสักคน
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นหนูต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์และคนอื่นๆ ที่เคยตอบคำถามที่หนูเคยตั้งไว้ที่ผ่านๆ มาด้วยใจจริงค่ะ ท่านอาจารย์ก็ได้แนะนำคำตอบที่เป็นประโยชน์และหนูก็เข้าใจที่อธิบายมา และแนะนำให้หนูศึกษาธรรมะให้มากขึ้น ทุกวันนี้หนูก็ใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตค่ะ ลดอัตตาตัวเอง เลิกยึดมั่นถือมั่นในหลายสิ่ง พิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตาย ใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท พยายามเดินทางสายกลาง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยทำได้เลย คือกับความรักค่ะ หนูตั้งกระทู้ทีไรก็มีแต่เรื่องความรักทุกที อย่าตำหนิหนูเลยนะคะ หนูไม่เคยมีแฟนค่ะในชีวิตนี้แต่ไม่ได้รีบนะคะ ตอนนี้โตแล้ว แต่รู้สึกว่าตัวเองรอคอยใครสักคนอยู่ตลอดเวลา เริ่มรู้สึกแบบนี้มา 3 ปีแล้ว ไม่อยากรักใครไม่สนใจใคร ในใจก็คิดถึงแต่คนที่รอ บางทีมันก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาค่ะเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอ (มันดูเป็นเรื่องทางโลกและกิเลสหนาสุดๆ อาจารย์อย่าตำหนิเลยนะคะ) หนูพยายามศึกษาเรื่องราวเหล่านี้จากหลายที่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ถ้าที่เค้าอ้างอิงว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์เรื่อง บุพเพสันนิวาสและเรื่องสมชีวิธรรม4 หนูเชื่อค่ะ แต่เรื่องอื่นไม่อยากจะเชื่อเลยขอตั้งกระทู้ถามนะคะว่า
1. ถ้าคนที่เคยเป็นคู่กันแต่ชาติปางก่อนจริง (เคยอ่านมาว่ามีหลายคนแต่กรณีนี้ขอคนที่มีกรรมกับเรามากสุด คนที่หนูรอน่ะค่ะ) เกิดมาร่วมชาติกันเป็นไปได้ไหมคะว่าจะไม่ได้พบกันเพราะมีอกุศลกรรมมาเบียดเบียนหรือมาตัดรอน
2. หรือว่าที่ยังไม่เจอกันเพราะเหตุปัจจัยยังไม่พร้อมคะ ถ้าพร้อมแล้วก็เกิดขึ้นเพราะเคยอ่านมาว่าคนที่ใช่จะมาในเวลาที่เหมาะสม
3. แล้วคนที่มีกรรมต้องมาแต่งงานเป็นสามีภรรยากันจริง เค้าเลี่ยงได้ไหมคะ แบบไม่รับสามีคนนี้ (หนูไม่ได้มิจฉาทิฏฐินะคะ แต่อยากรู้ว่าเราปฏิเสธคู่ตัวเองได้ไหม)
4. ถ้ากรรมเบียดเบียนหรือตัดรอนทำให้ไม่สามารถพบกันได้จริงมีวิธีทำให้กรรมเบาบางลงบ้างไหมคะหรือมันจะตัดสะบั้นเลย เคยอ่านมาอย่างนั้น
5. ข้อสุดท้ายค่ะ ทำไมหนูถึงเป็นแบบนี้คะ (กิเลสหนาหนึ่งข้อใช่แน่ๆ ) แต่หมายถึงเรื่องอื่นด้วยค่ะ เช่น อธิษฐานมาหรือเปล่าและรู้สึกแบบนี้มันเป็นการบอกล่วงหน้าไหมคะว่าจะได้เจอ
ขอบคุณจริงๆ นะคะ คำถามหนูดูยึดติดกับโลกมากแต่หนูก็ทำความดีละเว้นความชั่วนะคะ ชาตินี้ได้แค่นี้ค่ะ ยังเป็นฆราวาสอยู่ เรื่องความรู้สึกรอคอยใครคนนั้นมันเข้มข้นมาก พยายามละแล้วแต่มันไม่ได้ แต่ความทุกข์ก็น้อยลงค่ะ เพราะคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ อยู่กับปัจจุบันนะคะ ไม่ได้คิดถึงแต่อนาคตอย่างเดียว แต่ยอมรับว่าคิดถึงใครคนนั้น ไม่ใช่ใครก็ได้นะคะ แต่เป็นใครคนนึงที่รู้สึกรอ ถ้าไม่เจอก็จะไม่รักใครค่ะ จะรอจนกว่าจะเจอ กี่ชาติกี่ภพก็จะรอเจอทั้งๆ ที่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นทุกข์ แต่ก็ขอสร้างขึ้นเพื่อรอเจอคนนี้เพียงคนเดียว (หนูไม่ได้เพ้อเจ้อนะคะ มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เป็นทุกข์ค่ะแต่ละไม่ได้จริงๆ )
โปรดตอบคำถามโลกๆ ของหนูหน่อยนะคะ เผื่อความทุกข์ของหนูมันอาจจะเบาบางลง จะศึกษาธรรมให้มากขึ้นค่ะและพยายามขัดเกลากิเลส ขอคำตอบแบบฆราวาสนะคะ อยากรู้ทำไมความรู้สึกรอคอยมันถึงได้เข้มข้นขนาดนี้เกิดจากการผูกพันกันมาหลายชาติหรือเปล่า
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะท่านอาจารย์
ทุกวันนี้หนูตั้งใจทำความดีให้ได้มากที่สุดในทุกๆ วันไม่ว่าจะน้อยหรือจะมาก และพยายามละเว้นจากความชั่วทุกประการ ทำทาน ถือศีล ภาวนา (อ่านธรรมะอย่างเดียวค่ะ) หนูรู้ว่าจุดประสงค์ของการทำสิ่งพวกนี้เพื่อเพียรเผากิเลสให้เบาบาง หนูก็ทำเพื่อสิ่งนั้น แต่บางอารมณ์มันก็อยากยึดค่ะ อยากหวังผลเหมือนกัน หวังให้สิ่งเหล่านี้ช่วยพาให้ได้พบกับคนที่รอคอยแต่มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนามีคำตอบ สำหรับทุกประเด็น เพราะ เป็น สัจจะ ความจริงที่มีเหตุผล ซึ่งการจะมีคู่ครอง ไม่มีคู่ครอง สำคัญที่จะต้องเข้าใจถูก เป็นพื้นฐานว่าความจริงแล้ว สิ่งที่มีจริงๆ คือ จิต เจตสิก รูป ที่เป็นสภาพธรรม ไม่มีสัตว์ บุคคล ต่อเมื่อมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูปแล้วจึงบัญญัติว่ามีสัตว์ บุคคล มีผู้ชายมีผู้หญิง มีบุคคลต่างๆ มีการแต่งงาน มีการมีคู่ครอง นี่คือ สิ่งสมมติ จากสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ที่สมมติว่ามีคู่ครองก็ไม่พ้นจากการเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหู ..มีการกระทบสัมผัสทางกาย อันสมมติว่า เห็นคู่ครอง คนรัก ได้ยินเสียงคนที่เป็นคู่ครอง สัมผัส คนที่เป็นคู่ครอง ล้วนแล้วแต่เพราะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปทั้งสิ้น แต่ สมมติว่าเป็นคู่ครอง เพราะฉะนั้น เมื่อได้เห็นสี ลักษณะอย่างนี้บ่อยๆ ที่สมมติเรียกว่า คู่ครองของเรา อันเกิดจากสัญญาความทรงจำ การเห็นเป็นวิบาก ถามว่า เราสามารถเลือกให้มีการเห็น สีใดอย่างไรได้หรือไม่ คำตอบ คือ ไม่ได้
เพราะฉะนั้น การจะเห็นสิ่งใด ที่เป็น ผลของกรรมที่เป็นวิบากแล้ว จึงเป็นเรื่องของกรรมในอดีตเป็นปัจจัย ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้น สีงทีเห็นบ่อยๆ ที่สมมติว่าเป็นคู่ครอง ก็ต้องมีเหตุปัจจัยจึงเห็นได้ คือ กรรมที่ทำในอดีต เพราะฉะนั้น การจะมีคู่ครอง หรือ ไม่มีคู่ครองนั้น จึงเป็นเรื่องของกรรมเป็นปัจจัย เพราะ ทำให้เห็นสี ในลักษณะนี้ ได้ยินเสียงในลักษณะนี้ อันสมมติว่าเป็นคู่ครองอันเกิดจากกรรมเป็นปัจจัยเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม การไม่อยากมีคู่ครอง เป็นเรื่องของอกุศลจิตที่เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ใช่ตัวผลของกรรม แต่เมื่อเหตุพร้อม วิบาก คือ ผลของกรรมก็เกิดขึ้น คือ มีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส อย่างนี้ ลักษณะนี้บ่อยๆ ที่สมมติว่าเป็นคู่ครอง จึงมีคู่ครองได้เมื่อเหตุพร้อม กรรมให้ผล ทำให้เห็น สีในลักษณะอย่างนี้ ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ นั่นเอง และ แม้ใจอยากจะมีคู่ครอง แต่ใจที่อยากมี เป็นอกุศลจิต ไม่ใช่ผลของกรรม แต่การมีคู่ครอง ตามที่กล่าวแล้ว ที่เป็นการเห็น ได้ยิน .. ในลักษณะสภาพธรรมนั้นบ่อยๆ อันสมมติว่าเป็นคู่ครองแล้ว การเห็น การได้ยิน ล้วนแล้วแต่เป็น วิบาก ที่เกิดจากกรรมในอดีต เพราะฉะนั้น การจะได้มีคู่ครองที่เป็นวิบาก ไม่ได้ขึ้นกับใจที่จะปรารถนา หรือ ไม่ปรารถนา กรรมต่างหากที่จะทำให้ได้คู่ครอง หรือ ไม่ได้คู่ครอง ครับ
เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็จะต้องมีคู่ครอง เพราะ เป็นเรื่องของวิบาก ส่วน จะหลีกหนีหรือไม่นั้น ก็ตามที่กล่าวข้างต้นว่า การจะอยากมีหรือไม่อยากมี หากมีแล้ว จะไม่มี ก็ไม่ได้อยู่ที่ตนเอง บังคับบัญชาได้ เพราะเป็นเรื่องของกรรม ที่จะให้ผลอย่างไร หากจะต้องมี และ ยังจะต้องอยู่ร่วมกัน ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น ความคิดนั้นสามารถคิดได้ แต่ ไม่สามารถฝืนวิบาก ที่เป็นผลของกรรมได้เลย ครับ
แต่ ที่สำคัญ ควรเข้าใจความจริงว่า หนทางการดับกิเลส ที่เป็นการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ปัญญาสามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งไม่ได้จำกัดเลยว่า หากมีคู่ครองแล้ว จะไม่มีปัญญา ไม่สามารถอบรมหนทางการดับกิเลสได้ เพราะ ความเป็นจริง การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา คือการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่การปลีกวิเวก อยู่ที่เงียบสงบ ไปนั่งสมาธิ ตามที่เข้าใจ
ดังนั้น การรู้ความจริงที่เป็นธรรมในชีวิตประจำวัน ก็เป็นการรู้ธรรมที่มีในขณะนี้ แม้จะมีคู่ครอง ก็ไม่พ้นไปจากธรรม ขณะนี้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก มี สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อนแข็ง เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ดังนั้น ปัญญาก็ควรเกิดรู้ความจริง ซึ่ง แม้จะมีคู่ครองก็มีธรรมเหล่านี้ แต่ ขาดปัญญาที่จะไปรู้เท่านั้น ดังนั้น การมีคู่ครอง ไม่ใช่เครื่องกั้นไม่ให้เกิดปัญญา ไม่ใช่เครื่องกั้นไม่ให้เกิดการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศานา แต่ เครื่องกั้นที่แท้จริง คือ อวิชชา ความไม่รู้และ ความเห็นผิดที่เป็นกิเลส ซึ่งสามารถมีได้ กับทั้งผู้ที่มีคู่ครอง และไม่มีคู่ครอง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ หนูเข้าใจแล้วค่ะไปอ่านตามที่อื่นๆ มาไม่สมเหตุสมผลเลย มีเลี่ยงกรรมได้ด้วย แล้วเรื่องถ้ามีกรรมมาตัดรอนแล้วจะไม่ได้พบกันก็ไม่เป็นจริงใช่ไหมคะ เพราะกรรมตัดรอนน่าจะตัดเรื่องอื่นพวกตัดชีวิต หรือทรัพย์สินใช่ไหมคะ ไม่น่าเกี่ยวกับคู่ครอง ถ้าคู่ครองน่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้เพราะประคองความรักไม่ดีและหมดกรรมต่อกัน เป็นกรรมเกี่ยวกับคู่ล้วนๆ กรรมอื่นไม่น่าให้ผลข้ามเหตุใช่ไหม ผลย่อมขึ้นตรงแก่เหตุใช่ไหมคะ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกขณะชีวิตคือความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ทั้งหมด และเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด แม้แต่ที่กล่าวถึงการรอคอยใครสักคน ห้ามได้ไหมที่จะไม่ให้มีความเป็นไปอย่างนั้น ก็ไม่ได้ เพราะเป็นธรรมที่เกิดแล้วเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะยังมีความติดข้องต้องการอยู่นั่นเอง ซึ่งไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล แต่เป็นโลภะที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่,
ซึ่งอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้านั้น ไม่มีใครทราบได้ แม้แต่ขณะต่อไปก็ไม่ทราบ เพราะเป็นธรรมทั้งหมดที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย การได้รับสิ่งที่ดี น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ เป็นผลของกรรมดีที่ได้กระทำแล้วในอดีต ส่วนการที่จะได้รับหรือประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เป็นผลของอกุศลกรรมที่เคยได้ทำมาแล้ว ไม่มีใครทำให้เลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่น่าพิจารณาต่อไป ก็คือ ชีวิตไม่ได้สำคัญอยู่ที่การมีคู่ครองหรือการไม่มีคู่ครอง แต่สำคัญอยู่ที่ได้กระทำตนให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือยัง ชีวิตของแต่ละบุคคลเป็นไปตามการสะสมไม่เหมือนกัน และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แม้จะรักกันมากสักเพียงใด ในที่สุดก็จะต้องจากกันอยู่ดี ด้วยความตายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วแต่ละคนก็ไปตามกรรมของตน ซึ่งเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การสะสมความดีพร้อมทั้งอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันเพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่อย่างอื่น การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล ชีวิตในสังสารวัฏฏ์ยังไม่จบลงเพียงแค่ชาตินี้ ยังต้องมีการเกิดอีกต่อไป เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เกิดมาในภพนี้ชาตินี้ ก็เพียงชั่วคราว ในชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ มีโอกาส ที่จะเจริญกุศลได้ทุกอย่าง จึงไม่ควรที่จะประมาทเลย เพราะในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่จะได้สะสมความดีและ อบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...