พระแม่ธรณี บีบน้ำจากมวยผม เป็นสิ่งที่ถูกแต่งขึ้นใช่หรือไม่ครับ
มารมาขัดขวางนั้น มีสองนัยคือมาจริง กับมารคือกิเลสของพระองค์เอง แต่พระแม่ธรณีนั้น เป็นความเชื่อของพราหมณ์ หรือเปล่าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีข้อความที่แสดงถึงพระแม่ธรณีมาบีบมวยผม ในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แต่เป็นการคิด แต่งขึ้นเอง ภายหลัง ซึ่งในความจริง แสดงไว้ว่า พระโพธิสัตว์ทรงใช้นิ้วชี้ลงแผ่นดิน อ้างถึงคุณความดีที่พระองค์ได้ทำในอดีตชาติ แผ่นดินนั้นก็ไหว ทำให้พญามาร และ มารทั้งหลาย พ่ายแพ้ไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้าที่ 148
ลำดับนั้น มารกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า สิทธัตถะ ในภาวะที่ท่านให้ทานไว้แล้ว ใครเป็นสักขีพยาน. พระมหาบุรุษตรัสว่า ในภาวะที่เราให้ทาน ตนผู้มีจิตใจเป็นพยานก่อน แต่ในที่นี้ เราไม่มีใครๆ ที่มีจิตใจเป็นสักขีพยานให้ได้ ทานที่เราให้ในอัตภาพอื่นๆ จงยกไว้ก่อน เอาแค่ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วได้ให้สัตตสดกมหาทานก่อน ปฐพีอันหนาใหญ่นี้แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานได้ จึงทรงนำออกเฉพาะพระหัตถ์เบื้องขวา จากภายในกลีบจีวร แล้วทรงชี้ไปตรงหน้ามหาปฐพี โดยตรัสว่า ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วให้สัตตสดกมหาทาน ท่านเป็นสักขีพยานหรือไม่ได้เป็น. มหาปฐพีได้บันลือขึ้นเหมือนจะท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียง พันเสียง แสนเสียงว่า ในกาลนั้น เราเป็นสักขีพยานท่าน.
แต่นั้น เมื่อพระมหาบุรุษทรงพิจารณาถึงทานที่ให้ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรอยู่ว่า สิทธัตถะ มหาทาน อุดมทาน ท่านได้ให้แล้ว ดังนี้ช้างคิริเมขล์สูง ๑๕๐ โยชน์ คุกเข่าลงบนแผ่นดิน บริษัทมารพากันหนีไปยังทิศานุทิศ มาร ๒ ตนชื่อว่าหนีไปทางเดียวกัน ย่อมไม่มี พากันทิ้งอาภรณ์ที่ศีรษะ และผ้าที่นุ่งห่ม แล้วหนีไปทางทิศที่ตรงหน้าๆ นั่งเอง.
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม โดยอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ตรงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง สำหรับประเด็นเรื่องของพระแม่ธรณี ก็ได้ทราบอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าไม่มีในพระไตรปิฎก, ในวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ทรงตรัสรู้ ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต (คือยังไม่ตก) พระองค์ก็ทรงชนะมาร พร้อมด้วยเสนามาร ด้วยพระบารมีที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมา เป็นการชนะมาร ที่เป็นเทวปุตมาร และในเวลาใกล้รุ่งของวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) พระองค์ก็ได้ทรงตรัสรู้ ดับกิเลส ที่เป็นกิเลสมารได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ
แสดงให้เห็นถึงการสะสมมาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อที่จะได้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงความจริงให้ผู้อื่นได้รู้ตาม มีพระทัยที่หนักแน่นมั่นคงต่อการที่จะได้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง กับ บุคคลผู้ที่สะสมมาไม่ดี เป็นมาร ไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้ดี อยากให้อยู่ในวัฏฏะ จึงมีความประพฤติเป็นไปคล้อยตามกิเลสที่ตนเองได้สะสมมา ดังนั้น สัตว์โลกจึงมีความหลากหลาย เพราะการสะสมมาที่แตกต่างกันนั่นเอง ครับ
... อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...