ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๑๐

 
khampan.a
วันที่  30 ก.ค. 2560
หมายเลข  29047
อ่าน  2,974

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๑๐

~ การเป็นภิกษุ นั้น เพื่อศึกษาธรรมให้เข้าใจ เพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งต่างจากคฤหัสถ์ ต้องรู้ความต่างระหว่างคฤหัสถ์กับบรรพชิต

~ ภิกษุ คือ ผู้ที่เข้าใจธรรมแล้ว และก็เห็นว่าตนเองสามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตที่ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ได้ จึงบวช เพราะมีความมั่นคงว่าจะสามารถอบรมขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตได้ มิฉะนั้น จะบวชทำไม ถ้าคิดว่าจะไม่สามารถขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ก็เป็นคฤหัสถ์ที่ฟังพระธรรมแล้วก็ขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์

~ การเป็นพระภิกษุไม่ใช่ง่ายและก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่ตรงต่อการที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ก็ไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย

~ ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจกันเลยว่า การบวช คือ จากเพศคฤหัสถ์ซึ่งเป็นผู้ที่มากด้วยกิเลส มากไปด้วยความสนุกสนาน ไปสู่อีกเพศหนึ่งเพื่อขัดเกลากิเลสด้วยความมั่นคงที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

~ ถ้าเป็นพระภิกษุจริงๆ ต้องมีความเข้าใจในพระธรรม และรู้ว่าพระวินัยบัญญัติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง เป็นสิ่งที่ควรเคารพ อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าจะเป็นบุตรที่เป็นศากยบุตร บุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกิดจากพระอุระคือพระปัญญาที่จะดำเนินรอยตาม (พระองค์) เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นภิกษุสมัยไหนยุคไหนก็ตาม หากไม่มีอาการกิริยาอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่ภิกษุ

~ พระภิกษุเป็นเพศที่สูงยิ่ง ไม่ใช่มีชีวิตอย่างชาวบ้านอีกต่อไป เพราะว่าได้อุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ต้องมีการฟังพระธรรม ต้องมีการเข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่าปัญญาต่างหากที่นำไปสู่ความดีทั้งหลายทั้งปวง

~ ถ้าไม่สามารถที่จะรักษาพระธรรมวินัยศึกษาให้เข้าใจแล้วขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะบวช เพราะถ้าบวช ก็คือ บาป

~ ถ้าไม่รู้จักว่าบวชเพื่ออะไร แล้วบวช ก็หลอกลวง เมื่อบวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ก็หลอกลวง เมื่ออ่านรู้ว่าพระธรรมวินัยมีอะไรบ้าง แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ก็หลอกลวง ก็หลอกลวงโดยตลอด เพราะฉะนั้น ผู้นั้นไม่ใช่พระภิกษุในธรรมวินัย

~ ผู้ที่ไม่มีความรู้แล้วอยากบวชโดยไม่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ ต้องเป็นบาปแน่นอน

~ เราเห็นโทษของอกุศล เราจึงฟังธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจยิ่งขึ้นเพราะรู้ว่าปัญญาต่างหากที่ละอกุศล ไม่ใช่มีใครที่สามารถจะไปละอกุศลได้ แต่เพราะเห็นโทษ (ของอกุศล) เราก็ฟังธรรม ศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลสตามที่ได้สะสมมา เพราะรู้ว่าสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาตามฐานะ ตามการสะสมว่าสะสมมาที่จะเป็นคฤหัสถ์

~ ทดแทนคุณพ่อแม่ ก็ด้วยการเป็นคนดี พ่อแม่ทุกคนหวังอย่างเดียวคือให้ลูกเป็นคนดี มี
ใครอยากให้ลูกเป็นโจรบ้างไหม มีใครอยากให้ลูกทุจริตบ้างไหม มีใครอยากให้ลูกโกหกบ้างไหม มีใครอยากให้ลูกทำไม่ดีบ้างไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อจะตอบแทนคุณ ก็ทำดี ดีกว่าบวชแล้วทำไม่ดี เพราะฉะนั้น บวชไปไม่ได้แทนคุณเพราะผิดพระวินัย

~ จะคลายความสงสัย จะละความสงสัยทีละเล็กทีละน้อยได้ ด้วยการเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังซึ่งเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง จากการทรงตรัสรู้ ไม่ใช่คิดเอง

~ ฟังธรรม ต้องเริ่มตรง ว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ

~ ผู้ที่เป็นเพื่อน ย่อมมีความหวังดีต่อกัน จะไม่มีการทำร้าย จะไม่มีการเบียดเบียนหรือแม้แต่คิดร้ายหรือโกรธ

~ จากการฟังพระธรรม ก็จะทำให้เห็นว่า สิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดมีโทษ แล้วสามารถที่จะมีความตั้งมั่นในการประพฤติที่ไม่ผิดจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ขณะใดก็ตาม ที่จิตกำลังกระวนกระวาย กระสับกระส่าย ไม่มีเมตตา ย่อมฟังพระธรรมไม่รู้เรื่อง จะฟังรู้เรื่องได้อย่างไรในเมื่อขณะนั้นจิตเป็นอกุศล

~ สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นว่ามีแล้วก็หมดไป ไม่เหลืออีกเลย ควรติดข้องในสิ่งนั้นไหม ต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรติดตามไปสักอย่าง ร่างกายที่เข้าใจว่าเป็นของเราก็ติดตามไปไม่ได้ แล้วนี่หรือจะเป็นของเรา เพราะความจริงไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นแล้วก็หมดไปๆ

~ คำใดที่เป็นคำไม่จริง ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไม่จริงทำลายคำจริง ทำให้คนเข้าใจผิดว่าคำไม่จริง นั้น จริง ด้วยเหตุนี้ คำไม่จริงทั้งหมด ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ตราบใดที่ยังมีคนที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมและศึกษามีความเข้าใจที่ถูกต้องแต่ละหนึ่งๆ พระศาสนาก็ยังไม่อันตรธาน (ยังไม่หายไป) แต่อันตรธานแล้วสำหรับคนที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด

~ การคิดถึงความตายจะทำให้ละมานะ (ความสำคัญตน) ได้ไหม? ภพนี้ ชาตินี้ อาจจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยชาติ ตระกูล โภคสมบัติ รูปสมบัติ วิชาความรู้ บริวารสมบัติ ทุกสิ่งทุกประการ แต่ว่าภพหน้า ชาติหน้า จะเป็นใคร จะมีรูปสวย รูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก เกิดในสกุลที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ ข้าทาสบริวาร หรือเปล่า อาจจะตรงกันข้ามเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น การที่ระลึกถึงความตาย เห็นความไม่เที่ยง ก็ย่อมจะทำให้ท่านละคลายแม้ความติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) ในสมบัติของท่าน ซึ่งเคยถือว่า เป็นของเรา และนอกจากนั้นก็ยังทำให้เกิดละคลายมานะ การถือตน การสำคัญตน หรือความผูกพันในสัตว์ ในบุคคลซึ่งเป็นที่รัก ในสังขารที่เป็นที่รักได้ จึงจะเป็นกุศล

~ ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาความโกรธติดตามไปในภพต่อไปด้วย ความโกรธ ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ได้ระลึกถึงความตาย ก็มีความโกรธ เดี๋ยวโกรธอย่างนั้น เดี๋ยวโกรธอย่างนี้ เดี๋ยวโกรธเรื่องนั้น เดี๋ยวโกรธเรื่องนี้ แล้วก็ผูกโกรธจนกระทั่งเป็นความพยาบาท เพราะไม่ได้ระลึกถึงความตาย แต่ถ้าระลึกถึงความตาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ จะละความโกรธได้ เพราะรู้จริงๆ ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาความโกรธติดตามไปด้วย ควรที่จะละความโกรธ ความผูกโกรธ หรือความพยาบาท

~ เมื่อตายแล้ว จะไม่เหลือความจำของชาตินี้เลยว่า เคยเป็นบุคคลใด ไม่เหลือความคิดที่เคยคิดในเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันในโลกนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องผูกพันกับบุคคลต่างๆ ในโลก เพราะเวลาที่สิ้นชีวิตไปแล้ว นอกจากจะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ไปไม่ได้ ก็ยังเอาบุคคลทั้งหลายซึ่งเป็นที่รักทั้งหมดในโลกนี้ติดตามไปไม่ได้ แล้วก็จะเอาความทรงจำทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ไปด้วยไม่ได้ แม้แต่ความจำก็ไม่เหลือ เป็นบุคคลใหม่ทันที เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภพใหม่ ชาติใหม่ ก็เป็นบุคคลใหม่ เป็นเรื่องใหม่ ไม่เกี่ยวข้องผูกพันกับเหตุการณ์เก่าๆ ในโลกเก่า

~ ขณะที่เรามีเมตตาต่อผู้อื่นนั้น แท้จริง ก็คือ เพื่อจิตใจเราเอง หมายความว่า เพื่อความเจริญขึ้นของความดีที่จะขัดเกลาจิตใจของตนเอง

~ ไม่โกรธ เป็นบุญไหม? เป็นบุญ แค่นี้ก็ต้องรู้ว่าบุญ คือขณะที่จิตไม่ประกอบด้วยอกุศลเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดกับจิต ที่เป็นอกุศล)

~ จากเคยมีนิสัยที่พูดไม่ดีพอเห็นโทษของการพูดไม่ดีซึ่งขณะที่พูดไม่ดีนั้นเป็นอกุศลซึ่งทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย ขณะที่ไม่พูดคำที่ไม่ดี ก็เป็นบุญ

~ การฟังธรรมต้องอดทน เพื่อที่จะเข้าใจจริงๆ เพื่อละความไม่รู้

~ กว่าที่จะได้เข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ต้องเป็นผู้ที่อดทน เพราะว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ในทันที

~ ไม่มีใครที่จะสามารถนำทางให้คนอื่นพ้นจากความเข้าใจผิด ความไม่รู้ความจริงของสิ่งซึ่งถูกปกปิดไว้ตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ มีใครคิดที่จะเปลี่ยนแปลงพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม ถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น ความไม่รู้และความเข้าใจผิด ทำลายพระพุทธศาสนา

~ พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเห็นคุณของพระพุทธศาสนา ผู้นั้น ต้องศึกษา ต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคง ว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ลึกซึ้ง หายากอย่างยิ่ง ที่ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้โดยง่ายเลย เมื่อเป็นอย่างนี้ หนทางเดียวที่จะสามารถดำรงพระพุทธศานาไว้ได้ ต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจให้ถูกต้อง

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพระเจ้า มีหนทางเดียวที่จะรักษาไว้ได้ คือ ทุกคนช่วยกันศึกษาด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพ ด้วยการอุทิศตนให้สมกับค่าของพระรัตนตรัยซึ่งประเสริฐสุด ชีวิตของทุกคนสั้นมาก เล็กน้อยมาก ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีค่าเท่ากับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพระเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้น การที่จะสามารถดำรงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงและจริงใจ

~ ผู้ที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระพุทธศานา ด้วยความเคารพอย่างยิ่งและมั่นคง.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๐๙

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kukeart
วันที่ 30 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จิรัฎฐ์
วันที่ 30 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 30 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Noparat
วันที่ 30 ก.ค. 2560

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 30 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 30 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
siraya
วันที่ 31 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 31 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
p.methanawingmai
วันที่ 31 ก.ค. 2560

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
worrasak
วันที่ 1 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 2 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pepa
วันที่ 3 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
วิราม
วันที่ 3 ส.ค. 2560

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 4 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
มังกรทอง
วันที่ 9 ม.ค. 2565

เราเห็นโทษของอกุศล เราจึงฟังธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจยิ่งขึ้นเพราะรู้ว่าปัญญาต่างหากที่ละอกุศล ไม่ใช่มีใครที่สามารถจะไปละอกุศลได้ แต่เพราะเห็นโทษ (ของอกุศล) เราก็ฟังธรรม ศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลสตามที่ได้สะสมมา เพราะรู้ว่าสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาตามฐานะ ตามการสะสมว่าสะสมมาที่จะเป็นคฤหัสถ์

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ม.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ