ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กรมวิชาการเกษตร ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  24 ส.ค. 2560
หมายเลข  29099
อ่าน  2,338

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากร ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ ได้รับเชิญจาก คุณกุลวิไล สุทธิลักษณวนิช เพื่อไปสนทนาธรรม ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคาร ๘ ชั้น กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร เกษตรกลาง บางเขน ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๔.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น.

คุณกุลวิไล สุทธิลักษณวนิช หรือที่สหายธรรมของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนารู้จักกันดี ในนามของ "อาจารย์กุลฯ" คุณกุลวิไล สุทธิลักษณวนิช หรืออาจารย์กุลวิไล พบและฟังท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ และเมื่อได้ศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์มาระยะหนึ่ง ก็ได้รับโอกาสจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาเป็นวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อร่วมกันเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ เป็นต้นมา

ปัจจุบัน อาจารย์กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช ทำงานอยู่ที่กรมวิชาการเกษตร เกษตรกลาง บางเขน ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ที่เดียวกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรรณพ หอมจันทร์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยากรอีกท่านหนึ่งของมูลนิธิฯ ซึ่งนอกจากจะมาร่วมสนทนาธรรมในวันนี้แล้ว ยังเมตตาเกื้อกูลแก่นิสิตในคณะฯ เพื่อมีโอกาสมาฟังและร่วมสนทนาธรรมในวันนี้ด้วย

ทราบว่าอาจารย์กุลวิไล จะครบเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมปีนี้ จึงขอโอกาสจากท่านอาจารย์เพื่อจัดการสนทนาธรรมขึ้นที่นี่ในวันนี้ เพื่อเกื้อกูลแก่พี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ ที่ได้ทำงานร่วมกันมานาน จะมีโอกาสได้ฟังและเข้าใจความจริงจากการทรงตรัสรู้และทรงแสดงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในหนทางที่ถูกต้อง ตรงตามพระไตรปิฎก

อนึ่ง เพื่อเป็นเกียรติแก่ทั้งอาจารย์กุลวิไลและมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ใคร่ขอนำข้อความที่อาจารย์กุลวิไลกรุณาเล่าถึงหนทางที่ได้มาพบกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไว้ในกระทู้ หมุนเจอ, เปิดเจอ, อ่านเจอ, ฯลฯ จนได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ ฯ ได้อย่างไร มาบันทึกไว้ ณ ที่นี้ด้วย ดังนี้

หมุนเจอ

ที่มาของการได้ฟังพระธรรมจาก ท่าน อจ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ยังจำได้ว่าปีนั้นเป็น พ.ศ. 2539 ได้หมุนเจอรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาโดยบังเอิญทางสถานีวิทยุ ส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบฟังรายการวิทยุมากกว่าดูทีวี จะฟังวิทยุเวลาที่อยู่ในห้องนอน และเวลาที่ขับรถไปทำงาน เป็นคนที่ชอบฟังรายการข่าว รายการสารคดี รายการสุขภาพ รายการเพลงมีบ้าง และถ้าเจอรายการธรรมะก็ฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เปิดเจอสถานีวิทยุ AM 675 สทร. 2 บางนา ในเวลาเช้า ได้ยินเสียงผู้ที่แสดงธรรมะเป็นผู้หญิง ทั้งที่ผู้แสดงในช่วงนั้นจะได้ฟังแต่พระภิกษุเป็นส่วนมาก จำได้ว่าท่าน อจ.สุจินต์ กำลังอธิบายขันธ์ ๕ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ต่างจากที่ดิฉันได้เคยฟังจากพระภิกษุรูปหนึ่งที่ท่านกล่าวชื่อของขันธ์และความหมายแต่ละขันธ์ โดยไม่มีความเข้าใจว่าขันธ์ ๕ มีในขณะนี้เอง ดิฉันได้หมุนไปเจอรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาในเวลาอื่นของวันเดียวกัน

ต่อมาได้ยินประกาศจากทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาว่า ยังมีรายการทางสถานีวิทยุเวลาใดบ้าง ตั้งแต่วันนั้นดิฉันก็ติดตามมาจนถึงวันนี้ ยังจำได้ในปี พ.ศ. 2541 มีโอกาสได้ไปพบท่าน อจ.สุจินต์เป็นครั้งแรก ได้มีโอกาสเข้าไปเรียนถามท่านว่า “ดิฉันติดข้องในท่านอาจารย์หรือเปล่า? จึงตามมาพบถึงที่วัดบวรนิเวศวิหาร” ท่าน อจ.สุจินต์ตอบว่า “เราเคยเห็นกันมาก่อนหรือเปล่า?” ดิฉันถึงได้คำตอบด้วยตัวเองว่า ที่มาเพราะพระธรรม แต่ไม่ได้มาเพราะติดข้องในตัวท่าน อจ.สุจินต์ และในวันนั้นดิฉันยังเรียนท่าน อจ.สุจินต์ว่า “อยู่ที่บ้านปัญญายังเกิดได้ค่ะ”

ขอกราบขอบพระคุณท่าน อจ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และทุกท่านผู้มีส่วนในการเผยแพร่รายการแนวทางเจริญวิปัสสนาทางสถานีวิทยุ จากวันนั้นถึงวันนี้ ทำให้ดิฉันทราบว่า “ธรรมะไม่ต้องแสวงหา เพราะทั้งหมดเป็นธรรมะ”

อ.กุลวิไล สวัสดีค่ะ ท่านผู้เข้าร่วมสนทนาธรรมทุกท่าน วันนี้ดิฉันได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านอาจารย์เป็นประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาและเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมตามพระไตรปิฎก ที่สำคัญท่านอาจารย์เผยแพร่ธรรมะมาตั้งแต่ พุทธศักราช ๒๔๙๖ จนกระทั่งทุกวันนี้

สำหรับวันนี้ก็ยังมีท่านวิทยากรอีกสองท่านที่มาร่วมสนทนาด้วย ท่านแรกคือผู้ช่วยศาสตราจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ท่านเป็นหัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และท่านยังเป็นวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ส่วนอีกท่านหนึ่ง คือ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ ท่านก็เป็นวิทยากรประจำมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

หลายท่านในที่นี้ อาจจะไม่รู้จักประเพณีหนึ่งซึ่งมีมาแต่ครั้งพุทธกาลคือการสนทนาธรรม ทั้งๆ ที่การสนทนาธรรมเป็นบุญที่ประกอบด้วยปัญญา ก็คือ ความเห็นถูกในธรรมะตามความเป็นจริง และที่สำคัญ การสนทนาธรรมยังเป็นเหตุนำมาซึ่งความเจริญ เป็นหนึ่งในมงคล ๓๘

ทุกวันนี้ เราอาจจะคุ้นเคยความเป็นชาวพุทธ ด้วยการตักบาตร ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ ไหว้พระ หรือแม้แต่ทำสมาธิ เพราะฉะนั้น ในวันนี้ ดิฉันก็มีประเด็นที่จะขอกราบเรียนท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง และทั้งหมดก็ต้องมาจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีในพระไตรปิฎก นั่นคือ "ความเป็นชาวพุทธ" กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ

ท่านอาจารย์ อยากรู้จัก "ชาวพุทธ" ไหมคะ? หรือว่ารู้จักแล้ว? เป็นสิ่งซึ่งละเอียด เพราะว่า ไม่ใช่ว่าเราคิดว่าเราเป็นชาวพุทธ แต่ถ้ามีคนถามว่า "ชาวพุทธรู้อะไร?" จะตอบว่าอย่างไรคะ? ทุกคนเป็นชาวพุทธแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนถาม ซึ่งเขาไม่รู้จักชาวพุทธ แล้วเขาก็ถามว่า ชาวพุทธรู้อะไร? คนที่เป็นชาวพุทธจะตอบว่าอย่างไร? ทุกคนเป็นชาวพุทธ เพราะฉะนั้น ต่างคนก็ต่างตอบได้ตามที่เป็น ว่า เป็นชาวพุทธ รู้อะไร? มีใครจะตอบบ้างไหม?

การสนทนาธรรม เป็นประโยชน์มากเมื่อได้มีการฟังคำของแต่ละคน แต่ละความคิด เพื่อที่จะได้พิจารณาว่า คำใด สามารถที่จะได้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นอีกบ้าง เป็นประโยชน์ต่อการที่ "เคยเข้าใจเพียงผิวเผิน" หรือ "เพียงเล็กน้อย" เพราะแค่คำว่า "ชาวพุทธ" แค่คำว่า "ชาวพุทธ" ลึกซึ้งไหม? พราะเหตุว่า "ชาวพุทธ" คือ ใคร? คือ ผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นี่ก็คือ ทั่วๆ ไป ใครๆ ก็ตอบอย่างนี้!! ใช่ไหม? ชาวพุทธคือผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

แต่ว่า แค่คำว่า "รัตนตรัย" พอไหม? ที่จะตอบว่า ชาวพุทธมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าเขาถามต่อไปว่า พระรัตนตรัยคืออะไร? ก็จะต้องตอบให้เขาเข้าใจได้ถูกต้อง ให้รู้จักจริงๆ ว่า ควรค่าแก่การที่จะนับถือ และเป็นชาวพุทธ มิฉะนั้นแล้ว เป็นชาวพุทธ โดยไม่รู้ "สิ่งที่ควรค่าแก่การที่ทำให้เป็นชาวพุทธ" ก็ไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง!!

ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำ ลึกซึ้งมาก คำของใคร? ที่จะได้ฟังและสนทนากัน? ก็เป็น "คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย ไม่ใช่คำของคนโน้น คำของคนนี้ เพราะเขาไม่ได้ตรัสรู้!! เขาไม่ได้รู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้!!

เพราะฉะนั้น คำที่เรามีโอกาสจะได้ฟัง สืบๆ ต่อกันมา โดยที่เราไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แต่ว่ามีโอกาสจะได้ยิน "คำ" ซึ่งคนที่ได้เฝ้าฟังธรรมจากพระโอษฐ์ มีความเข้าใจสืบทอดมาจนกระทั่งถึงเรา จนกระทั่งสามารถที่จะกล่าวได้ว่า "เราเป็นชาวพุทธ เพราะเราเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ถ้าเป็นชาวพุทธแต่ว่า "ไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ไม่ใช่ชาวพุทธ!!

เพราะฉะนั้น ถ้ามีคำถามว่า "ชาวพุทธรู้อะไร?" ตอบว่าอย่างไร? หรือตอบว่า ชาวพุทธไม่รู้อะไร!! จริงไหม? (หัวเราะ) ชาวพุทธไม่รู้อะไร พระรัตนตรัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นรัตนะสูงสุดในสากลจักรวาล ไม่ใช่เฉพาะในประเทศหนึ่ง ถิ่นฐานใดที่พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แต่ไม่ว่าที่ไหนในโลก ในสากลจักรวาลทั้งหมด ไม่มีใครที่จะมีปัญญาเสมอด้วยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียง "ชื่อ" ที่เราจำ!! แต่ต้องรู้ว่า พระอรหันต์คือใคร? พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลสเลย แล้วเราเป็นใคร? ต่างกันมากมายไหม? เราเป็นผู้ที่มีกิเลส เพราะไม่รู้อะไรที่จะดับกิเลส!! ไม่ใช่ว่าใครมาบอกเราว่า ให้ละ ไม่ให้มีกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย!! เพราะเขาไม่รู้จักกิเลส!!

เพราะฉะนั้น การที่ จากผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลสทั้งวัน ตลอดชีวิต เป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสอีกต่อไป แต่ต้องดับกิเลส..ตามลำดับขั้น ... เพราะเหตุว่า กิเลสมากมาย ประมาณไม่ได้เลย คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนันตะ ไม่สามารถที่จะกล่าวให้หมดได้เลย ฉันใด กิเลสของแต่ละคนที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ก็อย่างนั้น!! แล้วจะดับให้หมดเลยทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย!!

ด้วยเหตุนี้ ชาวพุทธ รู้คุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงดับกิเส ไม่เหลือเลย ไม่มีกิเลสใดเลยทั้งสิ้น แล้วก็ตรัสรู้ธรรมะที่จะทำให้ดับกิเลสด้วยพระองค์เอง ในพระชาติที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว พร้อมที่จะได้รู้ความจริง ถึงความเป็นผู้ที่ สูงสุด เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น!! คือ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง!!

"รู้เอง" นี่ยากไหม? ไม่มีการฟังพระธรรม ไม่รู้แน่นอน!! ฟังคำของคนอื่นก็ไม่รู้!! แต่ว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ ต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า แต่ละคำลึกซึ้ง แต่ว่าเป็นประโยชน์ มีค่ามหาศาล นับไม่ได้เลย เพราะอะไร? เพราะ ก่อนที่จะได้ฟัง "คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น!! เกิดมาก็ไม่รู้ต่างกันไป แต่ละคน เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง สิ้นชีวิตไปตั้งแต่อายุน้อยบ้าง มากบ้าง เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตก็หลากหลาย ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น!!

แต่ ... จาก "คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" สิ่งที่เคยไม่รู้มาทั้งหมด ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งถูกปิดบังมานานในสังสารวัฏฏ์ แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ก็ค่อยๆ เปิดเผย ให้เข้าใจถูกต้อง ค่อยๆ ละความไม่รู้ ละความติดข้อง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ เป็น "สาวก" คือ แม้ว่าจะไม่มีบารมีที่จะทำให้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะรู้ธรรมะด้วยตัวเอง แต่ก็ยังเป็น "ผู้ฟัง" ผู้มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง "คำ" ของผู้ที่ได้ตรัสรู้ แล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็น "ปัญญาของตนเอง"

เพราะฉะนั้น พระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ ได้แก่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมะซึ่งสามารถที่จะนำไปสู่การดับกิเลส คนมีกิเลสกับคนไม่มีกิเลส หรือคนมีกิเลสน้อย ทุกคนก็ต้องรู้ความต่าง ใช่ไหม? คนมีกิเลสมากเป็นอย่างไร? พฤติกรรมทางกาย ทางวาจา เกิดจาก "ใจซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสมากเท่าไหร่" การกระทำทางกาย ทางวาจา ก็เป็นอย่างนั้น!!

เพราะฉะนั้น ถ้ากิเลสน้อยลง ความดีก็เพิ่มขึ้น!! จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ดับกิเลส ตามลำดับขั้น จนกระทั่ง จากความเป็นพระโสดาบันบุคคล ดับความเห็นผิด ความสงสัย ในสิ่งที่กำลังมี ที่กำลังปรากฏ ในโลก ในอะไร ทุกอย่าง!! เพราะไม่รู้ จึงสงสัย!! แล้วจะไปเอาคำตอบมาได้อย่างไร? ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็มีตามความเป็นจริงว่า ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้!! นี่ก็แสดงถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมะ!!!

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ว่า "ธรรมรัตนะ" คือ สิ่งที่สามารถจะนำไปสู่การ "รู้ความจริง" ซึ่งก็คือ "ปัญญา" เพราะฉะนั้น ก่อนฟังธรรมะ มีปัญญาหรือเปล่า? มีปัญญาตามสมุดพก หรือว่า รายงานของครูอาจารย์ ท่านผู้นี้มีปัญญามาก รู้นั่น รู้นี่ สอบได้ปริญญาตรี โท เอก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่า ไม่รู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้!!

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตที่เกิดมา ต่อให้มีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วน รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศต่างๆ ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ว่า ไปไหนก็ไม่รู้!! เหมือนกับเดี๋ยวนี้ ที่อยู่ตรงนี้!! เกิดมาเป็นคนนี้ มาจากไหนก็ไม่รู้!! และเวลาที่จะสิ้นสุดความเป็นคนนี้ อีกไม่นาน!! เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ล่วงหน้าเลย ว่าใครจะจากโลกนี้ไป เร็วหรือช้าแค่ไหน อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ ปีหน้า หรืออีกสิบปี ยี่สิบปี ก็ได้ แต่อยู่ตลอดไปไม่ได้แน่!! ต้องจากไป จากไปแล้วก็ลืมหมด!! ไม่มีใครสามารถจะจำได้ ไม่เหลืออะไรอีกเลย!!

เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ควรมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่างยิ่ง ที่ได้เกิดมาแล้ว ไม่ได้จากไปเปล่าๆ หรือจากไปด้วยการไม่รู้ความจริง สะสมความไม่รู้ สะสมกิเลสไปมากมาย ก็ค่อยๆ สามารถที่จะเห็นว่า สิ่งที่มีค่าสำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ สามารถได้ฟัง "คำ" ที่จะทำให้เกิด "ปัญญา" และรู้จักบุคคลที่ประเสริฐสุด คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดง "หนทาง" ที่จะทำให้กิเลสซึ่งมีมากในใจของทุกคน ลดน้อยลง!! จนกระทั่งสามารถที่จะดับได้!!

เมื่อไหร่รู้แจ้งความจริงถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลส เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี จนถึงพระอรหันต์ ดับกิเลสหมด ผู้นั้นเป็นรัตนะ ซึ่งเป็น "สังฆรัตนะ"

เพราะฉะนั้น พระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ ได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมรัตนะ ธรรมะที่เป็นปัญญาที่นำไปสู่การรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง ดับกิเลสได้ ทำให้ผู้ที่รู้ความจริงนั้น เป็นผู้ที่เป็นสังฆรัตนะ เป็นหมู่ของผู้ที่ดับกิเลส

เพราะฉะนั้น เราอยู่ในหมู่คณะของผู้ที่ไม่ได้ดับกิเลส แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย จะนำไปสู่ "สังฆรัตนะ" คือ ในหมู่ของผู้ที่ประเสริฐ โดยการเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น "ชาวพุทธรู้อะไร?" เริ่มคิดหรือยัง? สำหรับชาวพุทธ ... รู้อะไร? ... หรือยังไม่เคยมีใครถาม? แต่ถ้าเขาถาม จะตอบได้ไหม? ว่าชาวพุทธรู้อะไร? ถ้าไม่ศึกษา ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ได้ไหม? รู้ก็ไม่ใช่ชาวพุทธ!! เพราะไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!! แต่ถ้า "รู้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แล้วก็เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ไม่มีใครคนใดสักคน ที่สามารถจะทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจนั้นได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรม ก็จะมีความนอบน้อม เคารพ อย่างยิ่ง เป็นชาวพุทธที่เห็นคุณของพระรัตนตรัย ก็ตอบคนอื่นได้!!!

ชาวพุทธ คือ ผู้ที่รู้จักพระรัตนตรัย รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการฟังคำของพระองค์ และ อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ตามพระองค์ด้วย!!!

แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ เป็นชาวพุทธหรือเปล่า? ก็น่าคิด!! ทั้งๆ ที่บอกว่าเป็นชาวพุทธ!! แต่ถามว่า ชาวพุทธรู้อะไร? ก็มีชาวพุทธ ๒ พวก ชาวพุทธที่รู้ กับ ชาวพุทธที่ไม่รู้!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของอาจารย์กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมวีดีโอบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่ลิงค์นี้ครับ ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กรมวิชาการเกษตร ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๐


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
pattarakornnontajid
วันที่ 25 ส.ค. 2560

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ..ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จิตโอภาส
วันที่ 25 ส.ค. 2560

ขออนุญาตใช้ประโยคนี้

"กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของอาจารย์กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน"

เช่นกันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 25 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 26 ส.ค. 2560

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช อาจารย์ท่านอื่นๆ และทีมงานทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 26 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 28 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Wisaka
วันที่ 28 ส.ค. 2560
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
กมลพร
วันที่ 28 ส.ค. 2560

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ สุจินต์ ที่ได้แสดงความหมายของการเป็น " ชาวพุทธ " ว่า เราเป็นชาวพุทธที่รู้ หรือเป็นชาวพุทธที่ไม่รู้

ตลอดจน ขออนุโมทนาในจิตอันเป็นกุศล ของ อาจารย์ กุลวิไล ด้วยนะคะ ที่ตั้งใจให้บุคลากรท่านอื่นใน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รู้ถูกเข้าใจถูกถึงความเป็นชาวพุทธ ก่อนที่ท่านจะเกษียรอายุในเดือนหน้านี้

ขออนุโมทนากับทีมงานทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 29 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
khampan.a
วันที่ 29 ส.ค. 2560

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของอาจารย์กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chvj
วันที่ 2 ต.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
wirat.k
วันที่ 4 ต.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ