๕ มาสกคือเงินไทยเท่าไรครับ

 
Sopana
วันที่  28 ส.ค. 2560
หมายเลข  29104
อ่าน  2,439

ได้ยินมา 300 บ้าง มากกว่านี้บ้าง น้อยกว่านี้บ้าง ซึ่ง 300 บาทนี้ ในนานาวินิจฉัยของพระมหาภาคภูมิได้วินิจฉัยว่าเป็นเงิน 300 บาท ในอริยะวินัยก็บอกว่าไห้เอาทอง 1 ส่วน เงิน 1 ส่วน ทองแดง 2 ส่วนมาตีราคา ขอเรียนท่านวินัยธรอนุเคราะห์เรื่องนี้ด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ส.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิกขาบทปาราชิกที่ ๒ ภิกษุถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นด้วยอาการแห่งขโมย ด้วยมูลค่าของทรัพย์ ๕ มาสก จึงเป็นที่ตั้งของอาบัติปาราชิก ถ้าต่ำกว่านั้นไม่ถึงอาบัติปาราชิก แต่เป็นอาบัติรองลงมา คือ อาบัติถุลลัจจัย และทุกกฏ การกำหนดโทษที่หนัก คือ ขาดจากความเป็นพระภิกษุ (ปาราชิก) ต้องมีมูลค่าสูง

คือ ยุคนั้น ทางบ้านเมืองกำหนดโทษของผู้ที่ขโมยของผู้อื่น สิ่งของนั้นจะต้องมีมูลค่า ๕ มาสกขึ้นไป สำหรับทางธรรมก็เช่นกัน จะต้องโทษหนัก วัตถุที่ขโมยต้องมีมูลค่า ๕ มาสก จึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก สำหรับการเทียบราคาในปัจจุบัน มีการวินิจฉัยที่แตกต่างกันตามยุคสมัย แต่ที่ถือเป็นมาตรฐานทุกยุค คือ น้ำหนักทองคำกับข้าวเปลือก ๒๐ เมล็ด คือ เอาข้าวเปลือก ๒๐ เมล็ดมาชั่ง ได้น้ำหนักเท่าไหร่ น้ำหนักทองคำเท่านั้นตีเป็นเงินออกมา

ในพระวินัยปิฎก อทินนาทานสิกขาบท ทรงปรับอาบัติปาราชิก แก่พระภิกษุที่ขโมยสิ่งของมูลค่า ตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป ซึ่งคำว่า 5 มาสกในยุดนั้น มีมูลค่าเท่าไหร่ ก็เป็นปัญหาของพระวินัยธร ที่ยากจะวินิฉัยว่าเป็นเงินกี่บาทในยุคนี้ ซึ่งในอรรถกถาและฎีกา ท่านก็มีหลักเทียบดังนี้ มูลค่าทองคำ น้ำหนักเท่ากับ 20 เมล็ดข้าวเปลือก ซึ่งมูลค่าของทองคำในแต่ละยุคย่อมเปลี่ยนไปตามราคาตลาดที่เขาซื้อขายกัน ณ (พ.ค. 57) ทองคำบริสุทธิ์ 99.99% ราคากรัมละ 1,306.666บาท ข้าวเปลือก 20 เมล็ด มีน้ำหนัก 0.56 กรัม ทองคำ0.56 กรัม มีมูลค่า 731.732 บาท ดังนั้นมูลค่าเงิน 5 มาสกในยุคนี้อันเป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก เป็นจำนวนเงิน 731.732 บาท การตีความดังกล่าวนี้อาศัยหลักของอรรถกถาและฎีกา ที่ท่านสืบทอดพระวินัยมาตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาลครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 29 ส.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าเป็นบรรพชิตอันเป็นเพศที่สูงยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์แล้ว ยิ่งจะต้องขัดเกลายิ่งขึ้น ถ้าประพฤติผิด ลักทรัพย์เมื่อใด ต้องอาบัติเมื่อนั้น ตามราคาค่าวัตถุสิ่งของนั้น ถ้ามีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป ต้องขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที และเป็นการกระทำอกุศลกรรมบถ ด้วย เป็นโทษโดยส่วนเดียว เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง การลักขโมย แม้คฤหัสถ์ยังไม่ควรทำ และนี่ยิ่งเป็นบรรพชิตแล้วก็ยิ่งจะต้องไม่ทำ จะต้องสำรวมระวังรักษาสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ อย่างดียิ่ง เห็นโทษของการล่วงละเมิดสิกขาบท อยู่ตลอด สำนึกว่าตนเองเป็นบรรพชิต ไม่ใช่คฤหัสถ์ ขัดเกลากิลเสตั้งแต่ตื่นจนหลับ

สำคัญที่สุด คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาต และไม่ประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติว่าเป็นโทษ ความเดือดร้อนใจในภายหลังที่เกิดขึ้น ก็เป็นเพราะไม่ได้คล้อยตามพระพุทธพจน์ ถ้าได้สำรวมตามสิกขาบทต่างๆ ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ การต้องอาบัติน้อยใหญ่ ก็จะไม่เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นเหตุให้เดือดร้อนใจในภายหลัง

ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของการบวชว่า บวชเพื่ออะไร ก็จะทำให้ละเลยถึงกิจที่ตนเองควรทำให้สมกับเพศที่สูงยิ่งกว่าคฤหัสถ์ คือ ละเลยในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด การประพฤติปฏิบัติก็ย่อมจะผิดไปด้วย ทำให้มีความย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ต้องอาบัติด้วยความไม่ละอาย โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นโทษเป็นภัยอย่างไร เป็นไปตามการสะสมของแต่ละคนแต่ละท่านจริงๆ ตามความเป็นจริงแล้ว ความเป็นบรรพชิตเป็นเพศที่สูงยิ่ง ถ้ารักษาไม่ดี ก็ย่อมมีแต่จะทำให้เกิดโทษแก่ตนเองโดยส่วนเดียว คร่าไปสู่อบายภูมิได้เลยทีเดียว ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์สูงสุดของการบวช ก็จะเป็นผู้ศึกษาพระธรรมและน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 29 ส.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 7 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 7 เม.ย. 2564
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ