ธรรมที่พระบรมศาสดา แสดงแก่สุทภัททปริพาชก แสดงนัยยะอะไร

 
J263
วันที่  29 ส.ค. 2560
หมายเลข  29120
อ่าน  3,389

ตามพระสูตร //www.84000.org/tipitaka/read/?10/138-140

ขอยกมาบางส่วนคือ

"ดูกรสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว สุภัททปริพาชกทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วย องค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ"

คำว่า ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายฯ

พุทธพจน์นี้ยืนยันได้หรือไม่ว่า ถ้าเจริญอริยมรรคมีองค์แปดอย่างถูกต้อง แม้ในปัจจุบัน โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ อรรถกถาจารย์ท่านได้อธิบายไว้อย่างไรบ้างครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 ส.ค. 2560
ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น จากอรรถกถาได้แสดง โดยนัยของคำว่า คำว่า ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายฯ ดังนี้ครับ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้า 436 ในคำว่า สมฺมา วิหเรยฺยุํ พระโสดาบันบอกฐานะที่ตนบรรลุแก่ผู้อื่นทำผู้อื่นนั้นให้เป็นโสดาบัน ชื่อว่าอยู่โดยชอบ. ในพระสกทาคามีเป็นต้นก็นัยนี้. พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคกระทำแม้ผู้อื่นให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคก็ชื่อว่า อยู่โดยชอบ. ในพระผู้ตั้งอยู่ในมรรคที่เหลือก็นัยนี้. พระผู้เริ่มวิปัสสนา เพื่อโสดาปัตติมรรคกำหนดกัมมัฏฐานที่ตนคล่องแคล่ว กระทำแม้ผู้อื่นให้เป็นผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อโสดาปัตติมรรคก็ชื่อว่าอยู่โดยชอบ. ในพระผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อมรรคที่เหลือก็นัยนี้. ท่านหมายเอาความข้อนี้จึงกล่าวว่า สมฺมา วิหเรยฺยํ บทว่า อสุญฺโลโก อรหนฺเตหิ อสฺส ความว่า พึงไม่ว่างเว้นเหมือนป่าไม้อ้อ ป่าไม้แขม
ข้อความในอรรถกถา แสดงว่า พระโสดาบันบอกและแสดงให้ผู้อื่นเป็นพระโสดาบัน ชื่อว่าอยู่โดยชอบ แม้พระอรหันต์บอกฐานะของตนและแสดง ทำให้ผู้อื่นเป็นพระอรหันต์ ชื่อว่าอยู่โดยชอบ นั่นก็คือ โลกไม่พึงว่างเว้นจากพระอรหันต์ ถ้าหากมีพระอรหันต์ในสมัยนั้นและมีการกล่าวแสดงให้ผุ้อื่นบรรลุได้ แต่ ถ้าไม่มีพระอรหันต์ในสมัยนั้น ยุคเสื่อมไป ก็ไม่มีพระอรหันต์ที่จะกล่าวแสดงให้ผู้อื่นเป็นพระอรหันต์ในสมัยนั้น ครับ
นี่คือความละเอียดของพระธรรมและอรรถกถา เพราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณาพระธรรมส่วนอื่นด้วย ครับ

ในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม คือ มีปัจจัยปรุงแต่ง จะต้องเกิดขึ้นและดับไป จะต้องมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้แต่พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ย่อมจะถึงความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ถึงการอันตรธานไปในที่สุด เมื่อครบห้าพันปี ดังนั้น ความเสื่อมไปนั้นก็ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ใช่จากเจริญแล้วมาเสื่อมอย่างรวดเร็วทันที เพราะฉะนั้นในยุคพันปีแรกก็มีพระอรหันต์ที่ประกอบด้วยคุณธรรมสูง เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ มีอภิญญา และประกอบด้วยความแตกฉานในพระธรรมและการบรรลุก็ค่อยๆ เสื่อมไปๆ จนพันปีที่สอง ก็ยังมีพระอรหันต์ แต่เพียงดับกิเลสเป็นสุขวิปัสสกะ แต่ไม่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม ที่เป็นการแสดงฤทธิ์ได้ ได้อภิญญาปฏิสัมภิทา ครับ

นี่แสดงให้เห็นถึงความค่อยๆ เสื่อมไปตามลำดับ แต่เมื่อถึงพันปีที่ 3 ก็หมดความเป็นพระอรหันต์ในโลกมนุษย์ มีได้เพียงพระอนาคามี พันปีที่ 4 ก็สูงสุดเพียง พระสกทาคามี และพันปีที่ห้า พันปีสุดท้าย ก็ได้เพียงพระโสดาบัน นี่แสดงความจริงที่เป็นสัจจะ ว่าพระพุทธศาสนา ค่อยๆ เสื่อมไปอย่างช้าๆ ตามลำดับ ไม่ใช่ว่าพอพันปีที่สาม ที่สี่ ที่ห้ายังมีพระอรหันต์ แล้วก็หมดทันที่ ไม่มีพระอริยบุคคลในหมดพันปีที่ห้าเลย แต่การเสื่อมคุณธรรมก็ต้องเสื่อมไปตามลำดับ ตามระดับของพระอริยบุคคล ครับ

เช่นเดียวกับการเสื่อมของความเข้าใจพระธรรม พันปีแรกมีผู้ที่เข้าใจพระธรรมอย่างละเอียดลึกซึ้ง และพันปีที่สองก็ค่อยๆ เข้าใจละเอียดลึกซึ้งอยู่แต่ไม่มากเท่าพันปีแรก พันปีที่ 3 ก็เข้าใจน้อยลงตามลำดับ จนถึงพันปีที่ 4 พันปีที่ 5 ก็เสื่อมถอยในความเข้าใจพระธรรม จนในที่สุด แม้ได้อ่าน ได้ยิน มีพระไตรปิฎกเต็มตู้ แต่อ่านก็ไม่เข้าใจเลย หรือเข้าใจผิด และ ไม่สนใจก็ได้ อันแสดงถึงความอันตรธานของความเข้าใจไปตามลำดับที่ค่อยๆ เสื่อมไป จึงไม่ใช่ว่า พันปีที่ 3 ยังมีความเข้าใจลึกซึ้งเท่ากับพันปีที่ 1 แล้ว ก็พอพันปีที่ 4 และ 5 ก็หายไปทันที คือ หายจากความเข้าใจลึกซึ้งทันทีโดยที่ไม่ค่อยเสื่อมก็ไม่ถูกต้องครับ เช่นเดียวกับ การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลก็ค่อยๆ เสื่อมไป จนพันปีที่ 3 สูงสุดก็เพียงพระอนาคามี ครับ นี่คือเหตุผลของพระธรรมและเป็นสัจจะ ครับ ดั่งข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงถึง เรื่อง ยุคสมัยที่จะมีพระอริยบุคคลแบบใด ครับ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ หน้าที่ 554

ข้อความบางตอนจาก อรรถกถาโคตมีสูตร

ก็คำว่า วสฺสสหสฺส นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบันปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี โดยอาการดังกล่าวมานี้แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้วเพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.

[เล่มที่ 9] พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 499

แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น. แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ, จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี, จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน, รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 30 ส.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นผู้ทำลายข้าศึก คือกิเลสได้หมดสิ้น เป็นผู้ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป การบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เริ่มตั้งแต่พระโสดาบันบุคคล ถึง ความเป็นพระอรหันต์นั้น ต้องเป็นผู้ที่สั่งสมอบรมเจริญปัญญา สั่งสมการสดับตรับฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน และต้องเป็นผู้ดำเนินตามทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ คือ การอบรมเจริญปัญญา

ยุคนี้สมัย นี้ ไม่มีพระอรหันต์ ก็คือ ไม่มี

มรดกที่ล้ำค่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานแก่พุทธบริษัท คือ พระธรรมคำสอน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง

ตามความเป็นจริงแล้ว ยุคสมัยนี้ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยังดำรงอยู่ พระธรรม ยังสมบูรณ์ถูกต้องครบถ้วน แต่ปัญญาของผู้ศึกษาเข้าไม่ถึงอรรถ เข้าไม่ถึงธรรม เพราะผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาเพื่อเป็นพระอรหันต์ ท่านเกิดในสมัยครั้งพุทธกาลเป็นส่วนมาก ยุคปัจจุบันนี้เป็นของคนมีบุญน้อยการศึกษาอบรมเจริญปัญญาสามารถบรรลุคุณธรรมสูงสุด เพียงพระอนาคามีบุคคลเท่านั้น ประโยชน์จริงๆ ควรที่จะได้พิจารณาว่า หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือ อะไร นี้คือ ความสำคัญ ถ้าตั้งต้นไม่ถูก ไม่ได้อบรมเจริญเหตุ คือ การอบรมเจริญปัญญาแล้ว ไม่มีทางถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

และที่ไม่ควรลืมอย่างยิ่ง คือ กิจของตนเอง นั่นก็คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้เข้าใจ และไม่ประมาทในการสะสมกุศล ต่อไป ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
p.methanawingmai
วันที่ 1 ก.ย. 2560

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 2 ก.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ประสาน
วันที่ 4 ก.ย. 2560

กิจของตนคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจต่อไป สาธุๆ ๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สิริพรรณ
วันที่ 6 ก.ย. 2560

แม้ว่าขณะนี้ได้เกิดในสมัยที่ยังมีพระพุทธศาสนาให้ศึกษา แต่ก็ห่างจากสมัยพุทธกาลกว่า 2600 ปี จึงไม่ควรประมาทอย่างยิ่งเพราะบุญที่สะสมน้อยกว่าบุคคลในครั้งนั้น ที่ได้เฝ้า ได้ฟังพระธรรมโดยตรงจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย

เหตุนี้ กิจที่ควรทำขณะนี้ คือสะสมความเข้าใจความจริงจากพระธรรมที่ยังมีให้ศึกษาอย่างบริบูรณ์ และมีผู้ที่เข้าใจโดยละเอียดเกื้อกูลอนุเคราะห์ด้วยความกรุณายิ่ง เพราะหากประมาทในวันเวลาขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ก็จะยิ่งห่างไกลจากความเป็นผู้มีบุญอันสั่งสมในปางก่อน เมื่อหมดเวลาของการได้พบพระธรรม

กราบอนุโมทนาท่านผู้ถาม ผู้ตอบ และทุกท่านที่ได้ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพและอดทนด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 6 ก.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 8 ก.ย. 2560

ถ้าเจริญอริยมรรคมีองค์แปดอย่างถูกต้อง แม้ในปัจจุบัน โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ข้อความนี้ถูกต้องค่ะ แต่ยกเว้นในภูมิมนุษย์เพราะผ่านมาแล้วสองพันกว่าปี แต่ในโลกสวรรค์ยังมีพระอรหันต์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 7 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ