ตายอย่างไรให้เป็นสุข
เมื่อวันที่ ๘ ก.พ. ๒๕๕๐ ผมขับรถไปเรียน ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน กระดูกไหปลาร้าหักหายใจลำบาก กู้ชีพมารับไปที่โรงพยาบาล ผมรู้สึกตัวดี เมื่อถึงโรงพยาบาลในขณะที่แพทย์กำลังจะใส่เฝือกเกิดหายใจไม่ค่อยสะดวก ตาเริ่มมัวมืด ล้มลงรู้สึกว่ามีคนมาช่วยกันพยุงให้นอน ทางหูก็เริ่มดับไม่ได้ยิน ทางกายก็ไม่รู้สึกสัมผัส ผมเลยเกิดความกลัวว่าเราจะตายเหรือเปล่าหนอ ก็เลยระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเพราะกลัวตายแล้วจะไปสู่อบายภูมิ โดยปกติผมจะฟังธรรมะของอาจารย์สุจินต์ในขณะขับรถไปเรียนทุกวันและเตรียมตัวเตรียมใจรับกับอุบัติเหตุทุกขณะ แต่ผมก็มีความสุขใจ ผมไม่ทราบว่าในขณะจิตตอนที่ไม่รู้สึกทางอายตนะแบบนั้นควรจะทำ อย่างไรจึงจะไม่ตกใจกลัว
ผมเริ่มฟังธรรมะของอาจารย์สุจินต์ครั้งแรกตอนอายุประมาณ ๑๔ ปี (พ.ศ. 2538) จากทางวิทยุ ตอนเช้ามืด เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ผมยังรู้สึกปีติยังไม่หายเลยครับ - ขอบคุณครับอาจารย์ที่ให้ชีวิตใหม่แก่ผม
สาธุ ... ขออนุโมนาคุณปัญญาของท่านอาจารย์สุจินต์
ธรรมดาของปุถุชนทั้งหลายย่อมมีความตกใจกลัวต่อภัยที่มาถึงตนเสมอ ส่วนพระอริยะขั้นสูงคือ พระอรหันต์ท่านย่อมไม่สะดุ้งกลัวต่อภัยใดๆ เลย เพราะท่านดับความสะดุ้งกลัวได้แล้ว ความสะดุ้งกลัวจึงไม่เกิดอีกเลย สำหรับกัลยาณปุถุชน ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมสะสมบุญไว้มาก และอบรมเจริญปัญญาเข้าใจความจริงย่อมสะดุ้งกลัวภัยน้อยกว่าผู้ที่ทุศีล ไม่ได้สะสมบุญไว้ และมีปัญญาทราม ฉะนั้น ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ย่อมไม่มีความตกใจกลัวต่อภัยใดๆ แม้ความตายมาถึงท่านก็ไม่กลัว ท่านจึงตาย (ปรินิพพาน) อย่างเป็นสุข
ขอเชิญอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ..
อนุโมทนา ฟังธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย โดยปกติสำหรับปุถุชนมีโลภะเป็นเพื่อน สนิทติดตามไปเสมอ ความจริงที่ปรากฏจะแสดงการสะสมของแต่ละคน ตามความ เป็นจริง คงไม่มีวิธีหรือแนวทางในการจัดการกับสิ่งที่ได้สะสมมา โทสะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อปรากฏก็เป็นที่อาศัย เป็นปัฏฐาน เป็นที่ตั้งให้สติระลึก ไม่ต้องมี ความต้องการไม่ให้โทสะเกิด เพราะกำลังต้องการโดยโลภะ มิใช่ปัญญารู้ตามความเป็นจริง ปัญญาและสติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง แต่สติและปัญญาต้องเป็นไปตาม เหตุและปัจจัย ไม่ใช่เป็นไปตามความต้องการหรือมีวิธีทำ หรือเจาะจงให้สติและปัญญาเกิดตอนใกล้ตายหรือเวลาคับขัน เป็นสัจจญาณต้องมั่นคงจริงๆ ว่าไม่มีวิธีใด นอกจากพิจารณาสภาพธรรมที่ปรากฏ เห็นโทสะที่มีลักษณะเบียดเบียน เห็นโลภะที่ต้องการจัดการไม่ให้มีโทสะ ปัญญาเข้าใจตามความเป็นจริง เวลาโทสะเกิดหลงลืมสติ เวลาโทสะเกิดมีสติและปัญญา ปัญญาเข้าใจแล้วละความไม่รู้ไปโดยตลอด เป็นหนทางละไปโดยตลอด ละความไม่รู้ ละความเป็นตัวตน.
อนุโมทนา
ทุกคนเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากของรักทั้งปวง หนี ไม่พ้นนี้คือสัจจธรรมความจริง ที่พวกเราทุกคนรู้ แต่ก่อนตายเราได้สะสมความดี พอหรือยัง (ยังไม่พอตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องสะสมปัญญาต่อไป) ชีวิตที่มีค่าคือ การอยู่เพื่อทำความดี เผยแพร่ธรรมะที่ถูกตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ อ่านพระไตรปิกฎ ฟังธรรมทุกๆ วัน เป็นต้น
ขออนุโมทนาคุณหมาย ที่เริ่มสนใจฟังพระธรรมตั้งแต่อายุยังน้อยค่ะ คุณหมายทราบ มั้ยคะว่า ทุกขณะจิตที่ดับไป เป็นการตายจากไปทุกๆ ขณะ และไม่มีวันกลับมา อีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ขณะที่จุติจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็ไม่ต่างจากจิตดวงอื่นที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอย่างที่คิดใช่มั้ยค่ะ แต่ที่เรากลัวตายกันทุกวันนี้เป็นเพราะอะไรทราบมั้ยค่ะ เพราะอวิชชาและโลภะ ทำให้เรากลัวการพลัดพรากจากสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นเรา ของเรา และสิ่งที่รักใคร่ยินดีพอใจทั้งหลาย ถ้าพิจารณาให้ดีเราคงไม่ได้กลัวตายจริงๆ หรอกค่ะ แต่เรากลัวการพลัดพรากและกลัวการเกิดในภพภูมิใหม่ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเช่นไร ความกลัวไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ แต่เป็นการเพิ่มทุกข์ เมื่อทุกข์มี หนทางดับทุกข์ก็ต้องมี และมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นค่ะ คือการอบรมเจริญปัญญาด้วยการหมั่นฟังและพิจารณาพระธรรม การเจริญมรณานุสติ คือการระลึกถึงความตายบ่อยๆ จะทำให้เราเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะเมื่อใดที่ประมาท เมื่อนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้อกุศล ควรเจริญกุศลทุกๆ ประการเมื่อมีโอกาสนะคะ แล้วเราก็จะสามารถเผชิญหน้ากับความตายด้วยจิตใจที่หวั่นไหวน้อยลง
ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกๆ ท่านนะครับที่ให้ความรู้แก่ผม ผมจะพยายามศึกษาธรรมะต่อไปครับ
ขอให้หายดีเร็ววันนะคะ เพื่อที่คุณจะได้มีโอกาสได้เจริญกุศลทางด้านต่างๆ ต่อไป เช่นการฟังธรรมะเป็นต้น เจริญกุศลเพื่ออะไร? ก็เพื่อสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกไปเรื่อยๆ เป็นเสบียงของชีวิตในชาติต่อๆ ไป เรื่องที่ว่าเกิดความกลัวว่าเราจะตายหรือเปล่าหนอ? ก็เลยระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเพราะกลัวตายแล้วจะไปสู่อบายภูมิ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของปุถุชน (ผู้มีกิเลสหนาแน่นอยู่) คนส่วนใหญ่ก็คิดแบบนี้ทั้งนั้น ดังนั้น การเจริญกุศลทุกประการ โดยไม่ประมาทว่าเป็นกุศลเล็กน้อย จึงเป็นสิ่งที่เราปุถุชน พึงเจริญอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ควรลืมว่า กุศลนั้นจะต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาคือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกนั่นเอง
โดยปกติผมจะฟังธรรมะของอาจารย์สุจินต์ในขณะขับรถไปเรียนทุกวัน ขออนุโมทนาที่คุณไม่ประมาท ฟังธรรมะอยู่ตลอด นั่นคือสิ่งที่จะช่วยเกื้อกุลให้คุณได้เกิดความรู้ ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น เป็นการสั่งสมในจิตจะไม่สูญหายไปไหนอย่างแน่นอน ตามที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมา และเตรียมตัวเตรียมใจรับกับอุบัติเหตุทุกขณะ แต่ผมก็มีความสุขใจ ถึงแม้ว่า เราจะเตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างไรก็ตาม ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะหยุดยั้งได้ ที่จะไม่ให้เค้าเกิด เช่น ขณะที่มีความกลัวเกิดขึ้นในขณะนั้น หากการฟังธรรมะของเรา มีการพิจารณา ไตร่ตรอง ตามที่ท่านแสดงว่า ความกลัวนั้นก็คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่ง มีจริง เพราะเกิดขึ้นปรากฏแล้ว ไม่เป็นของใคร ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน แต่เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง แต่หากการฟังขั้นพื้นฐานของเรา ยังไม่แน่น ยังไม่มั่นคงพอ และยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า ทุกอย่างคือธรรมะ (เข้าใจใน ที่นี้คือ เพียงขั้นปริยัติ ไม่ใช่ขั้นเข้าใจในลักษณะ เพราะจะเป็นความเข้าใจในอีกระดับหนึ่ง)
เพราะฉะนั้น การฟังของพวกเราเวลานี้ คือฟังเพื่อให้รู้ว่า สภาพธรรมมีจริงๆ สามารถพิสูจน์ได้ และหมั่นน้อมใจพิจารณาไตร่ตรองไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง เมื่อเหตุ ปัจจัยพร้อม สติเค้าจะระลึกขึ้นได้เอง ว่าทุกอย่าง คือสภาพธรรม ตามที่ผู้รู้ท่านได้ กล่าวไว้ทุกประการจริงๆ และวันหนึ่งเมื่อเรามีความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เราก็จะค่อยๆ ละคลาย ยึดถือ ในความเป็นเราลงบ้าง เมื่อความยึดถือลดลง ความกลัวก็ย่อมจะลดลงตามไปด้วยตามลำดับ
ผมเริ่มฟังธรรมะของอาจารย์สุจินต์ครั้งแรก ตอนอายุประมาณ ๑๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๓๘) จากทางวิทยุ ตอนเช้ามืด เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ผมยังรู้สึกปีติยังไม่หายเลย ครับ ขอบคุณครับอาจารย์ที่ให้ชีวิตใหม่แก่ผม ตัวดิฉันเอง เมื่อได้ฟังเสียงท่านอาจารย์แสดงธรรมเมื่อใด ก็มีความรู้สึกปิติ อบอุ่นใจไม่แตกต่างจากคุณเลย เพราะว่าอะไรคุณรู้มั้ยคะ? ก็เพราะว่า "เป็น เสียงแห่งความจริง""เป็นเสียงของกัลยาณมิตร" "เป็นเสียงที่ทำให้เราเริ่มเข้าใจในตัวเรา" นั่นเอง และทำให้เราทุกคนที่ได้มาฟังท่านได้มีชีวิตใหม่ คือได้มาพบความจริง ของชีวิต
สาธุ ... ขอกราบอนุโมนาในเมตตาจิตและความเป็นกัลยาณมิตรของท่านอาจารย์ มา ณที่นี้ด้วยเช่นกันค่ะ
เป็นความรู้สึกปิติจริงๆ ค่ะ ตั้งแต่ได้ฟังเสียงอาจารย์ครั้งแรก ทำให้อยากฟังอีก และยิ่งได้ฟังทุกๆ วัน ได้ทั้งความเข้าใจเพิ่มทีละน้อยๆ รวมทั้งความรู้สึกมั่นคงด้วยที่เพิ่มขึ้นแม้จะเป็นทีละน้อยๆ ก็จะไม่ย่อท้อค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาพระคุณของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความซาบซึ้งค่ะ
ขอบคุณครับคุณ namarupa ที่ให้กำลังใจในการศึกษาธรรมะ และข้อคิดอันมีแก่นสาระประโยชน์ วัฎฎสงสารคงจะสั้นลงถ้ามีกัลยาณมิตรที่ดีอย่างทุกๆ ท่านที่มั่นเจริญกุศลอยู่เป็นนิจ และคอยชี้ทางให้แก่น้องๆ ที่เพิ่งเริ่มศึกษาและพัฒนาตนเองอยู่ ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านครับ
รู้สึกยินดี และขออนุโมทนาด้วยนะค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้คุณหมายในการศึกษาธรรมะ ต่อไป และขออวยพรให้คุณหมายสุขภาพดี หายป่วยในเร็ววันค่ะ
ด้วยความเคารพค่ะ
พิจารณามรณานุสติอยู่เป็นนิจ และอยู่อย่างมีสติ จะทำได้อย่างไร คงต้องเริ่มจาก ทำความเข้าใจสภาพธรรมะตามความเป็นจริง ใช่ไหมครับ โดยการศึกษาพระธรรมจน เกิดความเข้าใจ
ขออนุโมทนากับคุณหมาย ที่ได้มีโอกาสและเริ่มฟังธรรมที่ถูกทางโดยไม่ต้องหลงทางไปที่ไหนเสียก่อน ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เพียง ๑๔ ปี เท่านั้น นับว่าสะสมมาดีจริงๆ ค่ะเสียงของท่านอาจารย์ สุจินต์นั้น ดิฉันได้ฟังครั้งแรกก็ชื่นใจทันทีและรู้ได้ว่าหาพบแล้ว ท่านเป็นกัลยาณมิตร โดยแท้ ขอกราบอนุโมทนาในพระคุณที่ท่านได้แนะนำธรรมะที่ถูกต้องให้กับพวกเราค่ะ