ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสายลม อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ๑๙ - ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  9 ต.ค. 2560
หมายเลข  29235
อ่าน  3,534

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๑๙ - ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรมเป็นการส่วนตัว ที่ โรงแรมสายลม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ซึ่งที่ผ่านมา คุณขจีรัตน์ (คุณตู่) ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่โรงแรมสายลม หัวหิน แห่งนี้แล้วถึงสองครั้งด้วยกัน และอีกครั้งหนึ่งที่บ้านพักในกรุงเทพมหานคร สำหรับท่านที่สนใจ สามารถติดตามได้ตามลิงค์ที่ได้แนบไว้แล้วในตอนท้ายของกระทู้นี้นะครับ

อนึ่ง สำหรับการสนทนาที่โรงแรมสายลมในครั้งนี้ คุณตู่มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเกื้อกูลแก่ลูกชายคนเดียวของคุณตู่ (คุณตู่มีบุตรชายหนึ่งคนและหญิงอีกหนึ่งคน) คุณดัสท์ (มารุต ศิลปสุนทร) ลูกชายคนเดียวของคุณตู่ ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและเดินทางไปมาระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาอยู่เสมอๆ (คุณดัสท์ หรือ DUST PIXPROs เป็นผู้ก่อตั้งเวปไซต์ www.pixpros.net เวปไซต์ถ่ายภาพชื่อดังของเมืองไทย มีประสบการณ์ในการถ่ายภาพมามากกว่า 10 ปี เป็นวิทยากรถ่ายภาพให้กับสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนหลายแห่ง ด้วยสไตล์การสอนที่ เรียบง่าย แต่ทำได้จริง ทำให้คุณ DUST เป็นผู้สอนถ่ายภาพ ที่มีนักเรียนให้ความสนใจมากในปัจจุบัน ซึ่งคุณดัสท์ มีเวปไซต์สำหรับการเรียนถ่ายรูปออนไลน์ คือ www.pixproscool.net )

ช่วงนี้ที่คุณดัสท์เดินทางกลับมาเมืองไทย ตรงกับที่ท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมตามคำกราบเรียนเชิญของคุณตู่พอดี จึงเป็นโอกาสที่คุณตู่สมความปรารถนา ที่ได้นำลูกชายมากราบท่านอาจารย์และสนทนาถึงความจริงที่ถูกต้องในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคุณดัสท์ยอมรับในที่สนทนาว่า ก่อนหน้านี้เป็นห่วงคุณแม่ในเรื่องของการที่มาศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์ ว่าจะมีความถูกต้อง ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้หรือไม่ เพราะจากการที่ได้อ่านและฟังการบรรยายของท่านอาจารย์มาบ้าง คุณดัสท์เห็นว่าท่านอาจารย์สอนแตกต่าง ไม่เหมือนคนอื่นๆ โดยทั่วไปในปัจจุบันนี้

คุณดัสท์ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง มากด้วยความสามารถ ประสบความสำเร็จในวิชาชีพด้านการถ่ายภาพและการสอนการถ่ายภาพที่ทำอยู่ มีความเฉลียวฉลาด มั่นใจในตัวเองสูง การสนทนาระหว่างคุณดัสท์และท่านอาจารย์ จึงเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งครั้งหนึ่ง เท่าที่เคยมีมา เพราะเหตุว่า คุณดัสท์ เปรียบเหมือนตัวแทนของคนมากมาย เฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ในสังคมที่เรียกตนเองว่าชาวพุทธในปัจจุบัน ที่มีคำถามและความสงสัยในเรื่องหนทางที่ถูกต้องของพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ว่าหนทางใดกันแน่ ที่มีความชัดเจนถูกต้อง พิสูจน์ได้ด้วยเหตุและผล ตรงตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ซึ่งหากได้ฟังการสนทนาระหว่างคุณดัสท์และท่านอาจารย์ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าพเจ้ารับรองว่า ท่านผู้ที่ได้ฟัง จะสามารถตอบข้อสงสัยต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยตนเอง ความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนี้ จะเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวง ไม่เพียงต่อตนเองสำหรับการเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยาวนานไม่รู้จบนี้ แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อความรุ่งเรืองไพบูลย์ของพระพุทธศาสนาต่อๆ ไปทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เพื่อประโยชน์ของผู้ที่ได้ฟังและสามารถเข้าใจในคำจริงที่ถูกต้อง ตามที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจ เพื่อพ้นจากภัยใหญ่ในสังสารวัฏฏ์ คือ ความไม่รู้ ซึ่งเป็นที่มาของทุกข์ทั้งปวงของสรรพในชีวิตในสังสารวัฏฏ์

การสนทนาธรรมที่โรงแรมสายลม หัวหิน ในครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้ทำการบันทึกเป็นคลิปวีดีโอสั้นๆ รวมทั้งสิ้น ๔๙ คลิป ซึ่งท่านสามารถคลิกชมได้โดยต่อเนื่อง ตามคลิปวีดีโอที่ได้แนบไว้ในตอนท้ายของกระทู้นี้ ในคลิปที่ ๑ ถึงคลิปที่ ๑๒ เป็นบันทึกการสนทนาในตอนบ่ายของวันแรกที่เดินทางไปถึง ซึ่งเป็นความการสนทนาระหว่างคุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์ กับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่น่าฟังมากๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่มีความเข้าใจในเบื้องต้นมาแล้ว จะได้มีความชัดเจนในหนทางของการอบรมเจริญปัญญาที่ถูกต้อง ไม่หลงผิด เข้าใจผิดในหนทาง ซึ่งหากไม่เป็นผู้ตรง และละเอียด จะทำให้หลงทางได้ เพราะเป็นหนทางที่ยากอย่างยิ่ง แต่สามารถรู้ได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง

ในคลิปที่ ๑๓ ถึงคลิปที่ ๓๙ เป็นการสนทนาระหว่างท่านอาจารย์และคุณดัสท์ เต็มวันทั้งเช้าและบ่าย ซึ่งก็อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า เป็นการสนทนาที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งครั้งหนึ่ง เท่าที่เคยมีมา เป็นการสนทนาที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับตอบคำถามคาใจของคนทั่วไปในสังคมปัจจุบัน ที่สามารถเข้าใจในหนทางที่ถูกต้องได้เมื่อได้ฟังด้วยความตั้งใจโดยต่อเนื่องจนจบ

และในคลิปที่ ๔๐ ถึงคลิปที่ ๔๙ เป็นบันทึกการสนทนาในช่วงเช้าของวันที่ ๒๑ กันยายน ก่อนเดินทางกลับ ซึ่งเมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปีติ รู้สึกกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอย่างยิ่ง ในบุคคลต่อไปนี้ ท่านแรกคือ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้เป็นยิ่งกว่ามารดาที่ให้กำเนิดบุตร ที่ได้เมตตา ให้ความเข้าใจพระธรรมที่ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นบุญอันยิ่งของพวกเราทั้งหลายที่ได้พบท่านในชาตินี้ (ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หาได้มีท่านผู้มีนามว่า สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไม่ เป็นแต่เพียงนามธรรม นามธาตุ ที่สะสมความเข้าใจคือปัญญามามาก พอแก่การเกื้อกูลตนและผู้อื่น ให้ได้มีโอกาสเข้าใจขึ้น ในพระธรรมที่ยากและลึกซึ้ง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ซึ่งท่านเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในกาลสมัยนี้โดยแท้) ข้าพเจ้าจำได้ไม่เคยลืม ในคำกล่าวของท่านเมื่อครั้งที่เดินทางติดตามที่ไปสนทนาธรรมที่ประเทศเวียดนามครั้งหนึ่ง ท่านกล่าวแก่ผู้ที่ติดตามท่านไปว่า เป็นบุญของคนไทยที่ท่านเกิดในประเทศไทย เพราะคนไทยสามารถเข้าใจพระธรรมได้ง่ายกว่าชาวเวียดนาม ซึ่งต้องอาศัยคำที่ท่านอาจารย์สนทนาเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็ต้องอาศัยผู้แปลเป็นภาษาเวียดนามอีกทอดหนึ่ง แต่แม้กระนั้น คนเวียดนามก็ไม่เคยย่อท้อต่อการใส่ใจฟังพระธรรมที่ท่านเดินทางไปเกื้อกูลเลย ซึ่งก็น่าคิดว่า คนไทยสามารถฟังท่านอาจารย์สนทนาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมได้ในภาษาไทย แต่ได้รับประโยชน์มากน้อยอย่างไร? ในสมัยแห่งความพร้อมไปด้วยการอุบัติขึ้นของสิ่งที่เป็นไปได้ยากยิ่ง ในสังสารวัฏฏ์ ดังความในพระไตรปิฎกที่อัญเชิญมานี้

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ หน้าที่ 328 - 330

นาคราช ชื่อว่า เอรกปัตตะ กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ เช่นกับด้วยพระองค์ ได้ทำสมณธรรมสิ้น ๒ หมื่นปี แม้สมณธรรมนั้นก็ไม่อาจเพื่อจะช่วยข้าพระองค์ได้ ข้าพระองค์อาศัยเหตุสักว่าให้ใบตะไคร้น้ำขาดไปมีประมาณเล็กน้อย ถือปฏิสนธิในอเหตุกสัตว์ เกิดในที่ที่ต้องเลื้อยไปด้วยอก ย่อมไม่ได้ความเป็นมนุษย์เลย ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เช่นกับด้วยพระองค์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง”

พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของนาคราชนั้นแล้ว ตรัสว่า "มหาบพิตร ชื่อว่าความเป็นมนุษย์หาได้ยากนัก, การฟังพระสัทธรรม ก็อย่างนั้น การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากเหมือนกัน, เพราะว่า ทั้งสามอย่างนี้ บุคคลย่อมได้โดยลำบากยากเย็น "

เมื่อจะทรงแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า

กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท

" ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก, ชีวิต ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก, การฟังพระสัทธรรม เป็นของยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นการยาก "

แก้อรรถ

เนื้อความแห่งพระคาถานั้น พึงทราบดังนี้ว่า " ก็ขึ้นชื่อว่า ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็นการยาก คือหาได้ยาก เพราะความเป็นมนุษย์ บุคคลต้องได้ด้วยความพยายามมาก ด้วยกุศลมาก ถึงชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ชื่อว่าเป็นอยู่ยาก เพราะทำกรรมมีกสิกรรมเป็นต้นเนืองๆ แล้วสืบต่อความเป็นไปแห่งชีวิตบ้าง เพราะชีวิตเป็นของน้อยบ้าง แม้การฟังพระสัทธรรม ก็เป็นการยาก เพราะค่าที่บุคคลผู้แสดงธรรมหาได้ยาก ในกัปแม้มิใช่น้อย

อนึ่ง ถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็เป็นการยากเหมือนกัน คือ ได้ยากยิ่งนัก เพราะอภินิหารสำเร็จด้วยความพยายามมาก และเพราะการอุบัติขึ้นแห่งท่านผู้มีอภินิหารอันสำเร็จแล้ว เป็นการได้โดยยาก ด้วยพันแห่งโกฏิกัปป์ แม้มิใช่น้อย"

บุคคลท่านต่อไปที่ข้าพเจ้าระลึกถึงในยามนี้ นอกจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เมื่อระลึกถึงท่านครั้งใด ก็กราบแทบเท้าท่านด้วยใจอยู่เสมอมิได้ขาดแล้ว ก็คือ คุณขจีรัตน์ แก้วทานังหรือคุณตู่ ซึ่งมีกุศลศรัทธาและมอบโอกาสแก่ทุกๆ ท่านเพื่อได้ฟังการสนทนาธรรมที่เป็นการส่วนตัวกับท่านอาจารย์ในครั้งนี้ เป็นความพิเศษของการสนทนาธรรมเป็นการส่วนตัวกับท่านอาจารย์ ที่สามารถสนทนาในทุกคำถาม ทุกความละเอียด ลึกซึ้ง เพื่อความเข้าใจในพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้เกิดมีความปลื้มปีติอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะแก่ข้าพเจ้า แต่กับทุกๆ ท่านที่ร่วมในการสนทนา และที่ได้รับชมและฟังทางคลิปวีดีโอที่ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ที่ทุกท่านกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งจริงๆ ซึ่งความการสนทนาในครั้งนี้ ได้ถูกบันทึกเป็นคลิปวีดีโอไว้ ด้วยกล้องถ่ายภาพที่สามารถใช้ได้ทั้งการบันทึกภาพและบันทึกเป็นวีดีโอในตัวเดียวกัน (Cannon 6D) เป็นกล้องที่คุณนภา จันทรางศุ (คุณแอ๊ว) และข้าพเจ้า ร่วมกันจัดหามาแทนกล้องตัวเก่า (Cannon 5D Mark II) ซึ่งใช้มานานนับสิบปีแล้ว หมดอายุสำหรับการใช้บันทึกภาพไปแล้ว ซึ่งควรที่จะได้กล่าวคำอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณนภา จันทรางศุ (คุณแอ๊ว) ไว้ด้วย ใน ณ กาลครั้งนี้ นอกเหนือไปจากคุณภรรยาและลูกๆ ของข้าพเจ้า ที่มีส่วนสนับสนุนให้พ่อได้มีโอกาสติดตามท่านอาจารย์ไปเจริญกุศลตามสถานที่ต่างๆ เท่าที่โอกาสและปัจจัยต่างๆ จะอำนวย และใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ไปกับการเจริญกุศลตามความชอบและการสะสม ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อได้รับโอกาสอันวิเศษนี้ จากท่านอาจารย์และมูลนิธิฯ เฉพาะอย่างยิ่ง ท่านพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร กรรมการของมูลนิธิฯ ซึ่งท่านเป็นกัลยาณมิตร สมนามสกุลของท่าน ที่ได้ให้ความเมตตาและกำลังใจในการเจริญกุศลของข้าพเจ้าเสมอมา ตั้งแต่เมื่อครั้งแรกที่ได้พบท่าน คราวเดินทางไปอินเดียในปลายปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ จนปัจจุบัน ซึ่งขออนุญาตบันทึกไว้ ณ ที่นี้ สักครั้งหนึ่ง และในที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกอนุโมทนาท่านสหายธรรมทุกๆ ท่าน ที่ได้ร่วมเดินทางในหนทางอันแสนวิเศษที่สุดนี้ด้วยกัน เพื่อสิ่งที่สำคัญและมีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์เหนือทรัพย์แลรัตนใดในสากลจักรวาล คือ ความเข้าใจธรรมะ กราบอนุโมทนาทุกท่าน ครับ

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาในช่วงบ่ายของวันแรก ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวย้ำเตือนทุกคน ถึงจุดประสงค์ที่ทุกคนมักลืมอยู่เสมอๆ โดยตลอดว่า เราศึกษาธรรมะ เพื่อจุดประสงค์คือ ความเข้าใจธรรมะ เข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏในทุกๆ ขณะของชีวิต ในขณะนี้ เป็นธรรมะทั้งสิ้น ไม่ใช่เรา!!!

ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณ เมื่อกี้นี้พูดถึง "สัญญา" ของพระภิกษุ (สมณสัญญา) ใช่ไหม? แล้วก็สัญญาของคฤหัสถ์ พระภิกษุท่านก็ยังจำว่าท่านเป็นเราไม่ใช่หรือ? ยังเป็นตัวตนอยู่ไม่ใช่หรือ? ก็ยังมีอัตตสัญญา ใช่ไหม? แต่เวลาที่ความประพฤติทางกายทางวาจาจะเป็นไป ก็ต้องรู้ว่า "เราไม่ใช่คฤหัสถ์" เท่านั้นเอง สำหรับกายวาจาที่ต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย

เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ก็ไม่ต้องมานั่งคิดว่าเราเป็นคฤหัสถ์ เพราะเราไม่ได้ไปประพฤติตามพระธรรมวินัย แต่ที่นี้ ทุกคนมี "สัญญาที่จำ" ว่า "มีเรา" ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ แต่ถ้าเป็นบรรพชิต ยังต้องเพิ่มสัญญาว่า "เราไม่ใช่คฤหัสถ์" เพื่อความประพฤติทางกายทางวาจาขณะนั้นจะได้ไม่เป็นอย่างคฤหัสถ์

คุณอรวรรณ ท่านอาจารย์คะ ถ้าเช่นนั้น คฤหัสถ์ก็จะมี ขอใช้คำว่า ชาวพุทธแท้ หมายถึงว่า รู้จักว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร กับ ที่ไม่ใช่ชาวพุทธ หรือกัลยาณปุถุชนกับปุถุชน
ท่านอาจารย์ คฤหัสถ์ที่เข้าใจธรรมะ กับ คฤหัสถ์ที่ไม่เข้าใจธรรมะ
คุณอรวรรณ ก็ย่อมต่างกัน
ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ
คุณอรวรรณ เพราะว่า อย่างคนที่เป็นชาวพุทธ หรือเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ก็ต้องรู้ว่า ศึกษาเท่านั้น ถึงจะรู้ความจริง ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่มีทางรู้
ท่านอาจารย์ ฟังคำสอนแล้วก็รู้ว่า สอนให้เข้าใจ "สิ่งที่มี" ให้ "เข้าใจ" ไม่ใช่ให้ไปทำอะไร ทีนี้ "ตัวตน" คอย "จะทำ" จะทำโน่นจะทำนี่ อย่างนั้น อย่างนี้!! ตามตัวหนังสือไปเรื่อยๆ แต่ความจริง สำหรับให้เข้าใจสิ่งที่มี คือ ปัญญาเกิดตรงนั้น แล้วไม่ต้องไปทำอะไร!! ไม่ต้องไปคิดเพิ่มเติม แต่ง ต่อ อะไรทั้งสิ้น!!!

คุณอรวรรณ กราบเรียนท่านอาจารย์ ความเข้าใจ ก็คือ ทำกิจแล้วว่าเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ปัญญาเกิด ขณะที่เข้าใจ ไม่ใช่เรา!! หันกลับมาสู่ธาตุ คือธรรมะ ที่เราฟัง เพราะเหตุว่า เวลานี้เป็นธรรมะทั้งหมด แต่ไม่เป็นธรรมะสักที "เป็นเรา" วันแล้ววันเล่า เพราะฉะนั้น ฟังอีก!! ฟังอีก!! เพื่อเข้าใจในความเป็นธรรมะ โดยไม่ต้องไปทำอะไร!! เข้าใจในขณะที่ฟัง และความเข้าใจในขณะที่ฟังก็จะทำให้มีการ "นึกถึงธรรมะ" ขณะนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมานั่งนึกถึง เป็นไปเอง!! ทุกอย่าง ให้เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนั้น!!!

คุณอรวรรณ กราบเรียนท่านอาจารย์ หลังๆ นี่จะเป็นบ่อยมากว่า พอเสาร์อาทิตย์ไป (มูลนิธิฯ) ก็ เอ วันนี้เข้าใจอะไรบ้าง เมื่อวานก็ เอ้า เข้าใจเรื่องโลก เรื่องธรรมดา เรื่อง ...
ท่านอาจารย์ นั่นแหละ เป็นเราทั้งตัวเลย!! เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะผิด ก็คือ เป็น "เราศึกษาธรรมะ" ที่ถูกคือ "ศึกษาเพื่อเข้าใจ" ไม่ใช่เรา!! เข้าใจก็คือเข้าใจ จบแล้ว!!

คุณอรวรรณ ถ้าเป็นอย่างนี้ เมื่อไปทบทวน ก็คือรู้ว่าเป็นธรรมดา
ท่่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงต้องฟัง ฟังแล้วแทนที่จะคิดเรื่องอื่นก็คิดเรื่องนี้ ก็เป็นธรรมดา คิดก็คิด ไม่ใช่เป็นกฏเป็นเกณฑ์ว่า เราจะต้องมานั่ง เราจำอะไรได้บ้าง เราฟังอะไรมาบ้าง ถ้าเกิดจะคิดอย่างนั้น ก็เป็นธรรมดา ที่ว่าฟังแล้วก็คิดเรื่องธรรมะ ไม่ได้คิดเรื่องอื่น ต่ให้รู้ว่า ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา!!

เพราะจริงๆ เดี๋ยวนี้มีเห็นกับคิด ก็ยังไม่รู้!! จำได้ "เห็น" มีเห็น นี่แหละ แล้วก็ "คิด" นี่แหละ แต่ "ตัวธรรมะ" ไม่ได้ปรากฏ!! เพราะฉะนั้น ฟัง เพื่อที่จะสิ่งที่มันปิดกั้นอยู่นี้ ออกไป ค่อยๆ ออกไป จนกระทั่ง ธรรมะปรากฏ!!

คุณอรวรรณ กราบเรียนท่านอาจารย์ ตอนทานข้าวมื้อเที่ยง ก็มีอะไรที่ชอบและอร่อยเยอะแยะเลย ก็จะรู้ว่าโลภะเขาเกิดมาพอใจติดข้องสิ่งเหล่านี้ แต่ก็จะรู้อีกว่าปัญญาที่รู้ตรงลักษณะโลภะ ยังไม่เกิด
ท่านอาจารย์ เพราะว่า "คิดชื่อ" โลภะเขาเกิด นี่ "ชื่อ" จำได้ จำชื่อได้
คุณอรวรรณ คือ คิดถึงชื่อโลภะ ซึ่งต่างกับปัญญาที่เขารู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น "ไม่ใช่ไปรู้โลภะ" แต่ "รู้ความเป็นธรรมะ" ซึ่งเป็นธาตุรู้หรือไม่ใช่ธาตุรู้ (รูปธรรมกับนามธรรม) ไม่อย่างนั้นก็แยกกันไม่ออก เดี๋ยวนี้!! "เห็น" กับ "สิ่งที่ปรากฏ"

คุณอรวรรณ ตั้งต้นคือ ไม่ลืมว่าเป็นธรรมะ
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไม่ลืมหรืออะไรทั้งหมด "ฟังเข้าใจ" ตัวเดียว "เข้าใจ" แล้วถึงจะรู้ว่า "เข้าใจ ไม่ใช่เรา" เพราะว่า พอเข้าใจ เข้าใจมาเป็นเราอีกแล้ว!! แต่ ฟังเพื่อ..แม้เข้าใจ ก็ไม่ใช่เรา!! ฟังจนกระทั่ง เป็นธรรมะ!! "ตัวเรา" คอยไปควบคุมอยู่ตลอด!! เมื่อวานนี้ฟังนั่น เข้าใจนี่ เราเข้าใจ เรารู้ตรงนั้น เรารู้ตรงนี้ แต่ฟังเพื่อรู้ว่า เดี๋ยวนี้ ธรรมะ!! ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่า "เป็นธรรมะ" แต่ "ตัวธรรมะ" ไม่ได้ปรากฏ!! กลายเป็นคุณเบญฯ กลายเป็นอะไรต่ออะไรหมด "ตัวธรรมะ" ไม่ได้ปรากฏ แม้ปรากฏ ดับไป ก็ไม่รู้!!

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ จิต เจตสิก เกิด ดับ นับไม่ถ้วน!! เราอยู่ในความมืดหมด แต่เรากำลัง "เริ่มฟัง" ว่า "ในความมืด" นั้น มีอะไร? "ค่อยๆ เข้าใจ" แล้ว "ปัญญา" เขาก็ทำหน้าที่ของเขา!!

คุณอรวรรณ กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ฟังให้เข้าใจว่าเป็นธรรมะ แต่ปัญญาตรงนั้นเขายังไม่เกิด ก็รู้ว่า ความเข้าใจหรือการฟังยังไม่มากพอ
ท่านอาจารย์ "ขณะนี้ เป็นธรรมะ" ปัญญาเกิดไหม? ขั้นฟัง ว่าเป็นธรรมะ ถามเมื่อไหร่ก็ตอบได้ ว่าเป็นธรรมะ แต่ "ตัวธรรมะที่เป็นธรรมะ ไม่ได้ปรากฏ"
คุณอรวรรณ เพราะปัญญาที่จะไปรู้ตรงนั้นยังไม่เกิด
ท่านอาจารย์ ต้องตามลำดับขั้น!! และกว่าจะรู้ อย่าง "เห็น" อย่างนี้ "ธาตุรู้" ตอบได้หมด เจตสิกประกอบกี่ดวง เป็นอายตนะ เป็นจักขุวิญญาณธาตุ เป็นอะไรก็ตอบได้หมด ใช่ไหม? แต่ ศึกษาธรรมะไม่ใช่สำหรับตอบ แต่..เพื่อเข้าใจในความเป็นธรรมะ!! อย่างเราบอกว่า จักขุวิญญาณมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ดวง เกิดอะไรขึ้น? แค่เรียกชื่อ!!

เพราะว่า "ตัวจริงของธรรมะ" ของเขา เป็นสิ่งซึ่งให้เข้าใจว่า "ไม่ใช่เรา" ไม่ใช่เราทั้งนั้นเลย!! เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ในขณะที่สภาพธรรมะนั้นปรากฏ ฟังแล้วก็เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้!! มันถูกปกปิดไงคะ แล้วมันก็เกิดดับนับไม่ถ้วน!! เร็วมาก ... กว่าเขาจะ ค่อยๆ "ถึงเฉพาะ ... หนึ่ง" เพื่อที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะ ธรรมดานี่เป็นคนหมด เป็นอะไรหมด ตัวธรรมะแท้ๆ ไม่ได้ปรากฏ!!

คุณอรวรรณ กราบเรียนท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์บอก ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็พูดตามได้ แต่ความเข้าใจไม่ได้น้อมตาม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราจะไม่พูดตาม ไปพูดตามทำไม? ฟังแล้วเข้าใจ!! ฟังแล้วเข้าใจ!! ฟังแล้วเข้าใจ!! "ตัวเข้าใจ" เขาค่อยๆ เข้าใจขึ้น!!

คุณน้อย (พาณี) กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ ธรรมะทีละหนึ่ง แต่เวลาที่เราฟังแล้วก็คิดตามว่าธรรมะทีละหนึ่ง กำลังมีลักษณะปรากฏทีละหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สังเกตุเลย
ท่านอาจารย์ เข้าใจ!!!
คุณน้อย (พาณี) ความเข้าใจจะทำหน้าที่เอง
ท่านอาจารย์ แน่นอน ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เราไงคะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นเรา!!
คุณน้อย (พาณี) แต่อย่างน้อยพี่อรวรรณก็จำว่าเป็นธรรมะ
ท่านอาจารย์ เข้าใจว่าเป็น ขั้นฟัง เข้าใจว่ามีจริงๆ แต่ยังไม่รู้!! ตัวธรรมะยังไม่ปรากฏ!!
คุณน้อย (พาณี) ท่านอาจารย์ขา ธรรมะกำลังปรากฏ แต่ไม่ปรากฏกับปัญญา
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรมะ!! ไม่มีอะไรนอกจากธรรมะ!! แต่ไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรมะ!!!

คุณน้อย (พาณี) ตรงนี้ยากมากๆ ที่จะค่อยๆ เข้าใจ ทีละหนึ่งได้ สังเกตุได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ อย่าไปสังเกตุ อย่าไปอะไรเลย!! เข้าใจ อย่างเดียว!!!
คุณน้อย (พาณี) เข้าใจสิ่งที่กำลังมี
ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้น!! เข้าใจขึ้น!! ฟังแล้วเข้าใจขึ้น!! เข้าใจขึ้น!!! นั่นคือปัญญาเขากำลังเริ่มทำหน้าที่ มีตัวตนคอยไปคิดอย่างนั้น ก็กลบหน้าที่ของปัญญาหมด!!!

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า๔๗๖-๔๗๘

๘. ทุติยฉิคคฬสูตร ว่าด้วยการได้ความเป็นมนุษย์ แสนยาก

[๑๗๔๔] พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาปฐพีนี้ มีน้ำเป็นอันเดียวกัน บุรุษโยนแอกซึ่งมีช่องเดียวลงไปในมหาปฐพีนั้น ลมทิศบูรพาพัดเอาแอกนั้นไปทางทิศประจิม ลมทิศประจิมพัดเอาไปทางทิศบูรพา ลมทิศอุดร พัดเอาไปทางทิศทักษิณ ลมทิศทักษิณพัดเอาไปทางทิศอุดร เต่าตาบอดมีอยู่ ในมหาปฐพีนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้น ได้บ้างหรือหนอ?

ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่เต่าตาบอด ต่อล่วง ร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอเข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นเป็นของยาก.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ฉันนั้น ภิกษุทั้งหลาย การได้ความเป็นมนุษย์ เป็นของยาก, พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะอุบัติในโลก เป็นของยาก, ธรรมวินัย ที่พระตถาคตประกาศแล้ว จะรุ่งเรืองใน โลก ก็เป็นของยาก, ความเป็นมนุษย์นี้ เขาได้แล้ว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติแล้วในโลก และธรรมวินัยที่ตถาคตประะกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองอยู่ในโลก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลาย พึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน ๘ - ๙ กันยายน ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน ๗-๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐

ขอเชิญคลิกชมคลิปวีดีโอบันทึการสนทนาธรรมครั้งนี้ทั้งหมด ๔๙ คลิป โดยต่อเนื่อง ได้ที่นี่ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Tathata
วันที่ 10 ต.ค. 2560

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในจิตกุศลและความกรุณาต่อกัลยาณมิตรของคุณวันชัยในการบันทึกภาพและข้อธรรมที่สนทนาเพื่ออนุเคราะห์สหายธรรมที่ไม่มีโอกาสได้ไปฟังการสนทนาธรรมครั้งนี้และทุกๆ ครั้งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thilda
วันที่ 11 ต.ค. 2560

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพอย่างยิ่ง กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามอย่างยิ่งค่ะ จนไม่ทราบว่าจะกล่าวอย่างไรให้สมกับความรู้สึกขอบคุณนี้ กราบขอบพระคุณท่านเจ้าภาพ และขออนุโมทนากับทุกท่านอย่างยิ่งค่ะ สำหรับตัวเอง นอกจากฟังธรรมแล้ว ต้องไปอ่านเพิ่มเติม เพราะมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจค่ะ แต่พอเข้าใจแล้วก็ทำให้ความเข้าใจขยายออกไปอีกค่ะเพราะมีความเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 12 ต.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chvj
วันที่ 1 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ