สิ่งที่นี้เกิดขึ้นเรียกว่าอะไร

 
olive
วันที่  27 ก.พ. 2550
หมายเลข  2925
อ่าน  975

มีอยู่ครั้งหนึ่งในช่วงปิดเทอม เราใช้เวลาว่างไปยืมพระวินัยปิฎกและหนังสือธรรมมาจากห้องสมุด แล้วอ่านทุกวันเป็นเวลาเกือบเดือนเพื่อจะศึกษาข้อธรรมต่างๆ แล้วในขณะที่อ่านเรื่องการการพิจารณาฌาณอยู่นั้น พออ่านไปเรื่อยๆ เรื่องปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็พิจารณาตามอารมณ์นั้นไป จู่ๆ ก็เกิดเหมือนมีแต่แสงสว่างเกิดขึ้นภายในเราอธิบายได้ว่าเหมือน อยู่ๆ โลกก็กลายเป็นแสงสว่าง เหมือนอะไรมันถูกยกขึ้น แล้วเกิดสุขอย่างยิ่งอยู่กับ ความสุขนั้น แล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น เราไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร่แต่จู่ๆ ก็เหมือน เราเกิดคิดขึ้นว่าเรากำลังอ่านหนังสืออยู่ สักพักเหมือนแสงทั้งหมดก็หายวับไป เราไม่ได้ภาวนาอะไร เรานั่งถือหนังสืออยู่ เราลืมตาอยู่ด้วยในขณะนั้น แบบนี้มันคือ อะไรหรือใช่สมาธิหรือเปล่าคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 28 ก.พ. 2550

เรื่องทั้งหมดที่กล่าวถึงเป็นการคิดไปเองและเป็นความไม่รู้ ไม่ใช่ปัญญาความรู้แจ้ง ถ้าเป็นปัญญาย่อมไม่สงสัยงงงวยว่ามีอะไรเกิดขึ้น อีกอย่างหนึ่งสมาธิเกิดกับจิตทุกขณะ ขณะที่งงหรือสงสัยอยู่ก็มีสมาธิเกิดร่วมด้วยแต่เป็นมิจฉาสมาธิ โปรดอย่าไปสนใจกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระเพราะมันผ่านไปแล้ว สิ่งใดที่กำลังปรากฏให้ศึกษามีอยู่ ควรศึกษาสิ่งนั้นเพราะการรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่กำลังปรากฏ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุข ตลอดกาลนานแก่ผู้รู้แจ้ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
หมาย
วันที่ 28 ก.พ. 2550

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
sms
วันที่ 28 ก.พ. 2550

การจะเริ่มศึกษาพระธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลอย่างที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับอะไรได้จริงๆ และเป็นสิ่งที่ยากมากๆ ต้องเริ่มที่ฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมะคืออะไรไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และบังคับบัญชาไม่ได้อย่างไร แล้วค่อยๆ สะสมความเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้นๆ ตามกำลังของปัญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
tik
วันที่ 28 ก.พ. 2550

อนุโมทนาด้วย ขอให้ตั้งมั่นทำต่อไปนะคะ อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าปฏิบัติดี ทุกอย่างที่เกิดก็น่าเป็นที่ดี เรารู้ได้ด้วยตนเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
กุมารน้อย
วันที่ 28 ก.พ. 2550

อาการแบบนี้สามารถเป็นไปและเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ควรพิจารณาว่าขณะที่เกิดนั้นปัญญารู้อะไร? หรือเป็นเพียงความสุขที่เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วดับไป แต่ไม่ช่วยให้รู้และเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นเลย ยังแต่จะให้เกิดข้อสงสัยและคลุมเครือต่อตนเอง หากพิจารณาแล้วไม่เห็นประโยชน์อะไรกับการเกิดอาการแบบนั้น ก็ควรละไปและไม่ตรึกนึกคิดถึงมันอีก เพราะนอกจากจะทำให้เป็นการสะสมความไม่รู้แล้ว ยังเป็นการสะสมความติดข้องในสุขอันไม่ยั่งยืนอีกด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
olive
วันที่ 2 มี.ค. 2550

สาธุ

ค่ะท่านกุมารน้อย

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 7 พ.ย. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ