ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๖

 
khampan.a
วันที่  28 ม.ค. 2561
หมายเลข  29449
อ่าน  2,088

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๖

~ เรื่องของความคิดนึกเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าทุกคนต้องคิดนึก และกว่าจะรู้ได้ว่าความคิดขณะใดเป็นกุศล ความคิดขณะใดเป็นอกุศล ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ เพราะเหตุว่า อกุศล เร็ว แล้วก็มาก เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นประจำอย่างนี้ ยากที่จะรู้ได้จริงๆ ว่า ความคิดที่เป็นกุศลต่างกับความคิดที่เป็นอกุศลอย่างไร

~ ถ้าไม่ละทิ้งอกุศลเจตสิกที่คิดนึกในเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ก็จะทำให้คิดนึกแต่ในเรื่องไม่เป็นประโยชน์

~ สภาพธรรมทุกอย่าง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัญญา ความจำที่มั่นคง เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ว่า ในขณะที่เห็นในขณะนี้ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง

~ ถ้าบุคคลใด ไม่มีความเห็นถูก การปฏิบัติก็ไม่ถูก การรู้แจ้งธรรม ก็ถูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเห็นถูก เป็นเบื้องต้นทีเดียว เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ท่านสามารถประพฤติปฏิบัติต่อไปจนกระทั่งได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

~ ผู้ใดหนักด้วยมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ยึดมั่นในความเห็นที่ไม่ตรงกับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ และไม่ตรงกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ว่า ก็ไม่ทิ้งหรือว่าทิ้งไม่ได้ นั่น ก็แสดงว่า ความเห็นผิด หนักมากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่ถ่ายถอน ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นถูก หรือว่า ไม่มีโอกาสที่จะรู้แจ้ง รู้จริงในสภาพธรรมตามที่ปรากฏและตามที่ได้ทรงแสดงไว้

~ ถ้ามีความเห็นผิดเสียแล้ว การชักชวน หรือ คำพูดที่ผิด ก็ย่อมเกิดขึ้น ทำให้บุคคลอื่นประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่ผิดไปด้วย

~ ขณะใดที่จะกระทำอกุศลกรรม ขณะนั้น ก็เป็นการสะสมเพิ่มพูนกิเลสอีก และ ขณะใดที่หลงลืมสติ ขณะนั้น ก็เพิ่มพูนกิเลสมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นโทษของกิเลส แล้วก็ใคร่ที่จะดับกิเลส ก็จะไม่เพิ่มกิเลส โดยการกระทำทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา เพราะฉะนั้น กุศลธรรมมิใช่น้อยจึงเจริญ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์

~ ความเห็นผิด เป็นอกุศลธรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งพัดไปทำให้ไม่กลับมาสู่ความเห็นถูก เพราะฉะนั้นเป็นอันตรายมาก ถ้ามีความเห็นผิดเพียงเล็กน้อย
แล้วก็จะทำให้ความเห็นผิดนั้นพาไปสู่ความเห็นผิดที่มากขึ้นและลึกขึ้น ยากแก่การที่จะละ

~ อยู่ด้วยโลภะ (ความติดข้อง) อยู่ด้วยความเกลียดชัง อยู่ด้วยความริษยา อยู่ด้วยความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า? นั่นไม่ใช่ผู้ประเสริฐเลย เพราะฉะนั้น ผู้ประเสริฐจริงๆ แม้ในชีวิตประจำวัน ก็คือ อยู่ด้วยเมตตา หมายความว่า ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน พร้อมจะเกื้อกูล ไม่ได้หมายความว่า ให้เราหลงผิด ทำผิดไปกับคนอื่น แต่การเกื้อกูล คือ เกื้อกูลให้ถูกต้อง ให้เขามีความเห็นถูก ให้มีความเข้าใจถูก ให้มีกาย วาจา ใจ ที่ถูก นี่คือ ความเป็นมิตรที่แท้จริง

~ ถ้ารู้ตัวเองว่า "กุศลใดๆ ที่ทำ ยังไม่พอ ยังน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับอกุศล" ก็จะเป็นกำลังใจที่จะทำให้มีศรัทธา ที่จะทำกุศลมั่นคงขึ้น

~ การที่กุศลจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณจริงของกุศลธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุศล จึงไม่ว่างเว้นจากโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของความดีประเภทใดก็ตาม

~ การศึกษาพระธรรมทั้งหมด ก็จะละคลายความไม่รู้ และก็ละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว แล้วก็บำเพ็ญความดี ก็ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ด้วย

~ ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม แม้ในวันนี้ ก็คือ ได้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงๆ แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้อง ว่า เป็นธรรม เริ่มเข้าใจในความเป็นธรรม

~ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม และไม่อบรมเจริญปัญญา ยิ่งขึ้น ก็จะต้องถูกพัดไปด้วยอกุศล และเป็นผู้หนาด้วยอกุศล เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

~ ถ้าเข้าใจธรรม เป็นคนดีขึ้นแน่นอน

~ สิ่งที่สะสมสืบต่อที่ประเสริฐอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก

~ เกิดมาต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรที่จะติดตามไปได้เลย ทรัพย์สมบัติทั้งหลายแม้แต่รูปร่างกายที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็ไปด้วยไม่ได้ ไม่สามารถจะติดตามไปได้เลย แต่ความเข้าใจเหมือนการสะสมความรู้ทีละเล็กทีละน้อย ก็ติดตามไป และมีโอกาสที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น เช่นวันนี้ก็มีโอกาสได้เข้าใจเพิ่มจากวันก่อนที่ไม่เคยฟัง และถ้าฟังต่อไปความเข้าใจก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกด้วย เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

~ เราจะห้ามคนที่มีกิเลสไม่ให้เขาเบียดเบียนได้ไหม ห้ามกิเลสไม่ให้กระทำทุจริตได้ไหม นั่นเป็นหน้าที่ของสภาพธรรมที่ไม่ดี ก็ต้องทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าเป็นสภาพธรรมที่ดี อย่างใจดี คนใจดี จะเบียดเบียนคนอื่นไหม จะประทุษร้ายคนอื่นไหม เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมสองฝ่าย คือ ธรรมที่ดีกับธรรมที่ไม่ดี ปัญญาสามารถเข้าใจถูกว่าอะไรเป็นอะไร ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะนำไปสู่กิจของกุศลทั้งปวง ไม่ใช่ไปทำอะไรได้ แต่ความเข้าใจต่างหากที่จะทำให้สภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น

~ ที่ใช้คำว่าเพื่อน (ที่ไม่ดี) จะใช้คำว่า คู่ชีวิต หรือ ตลอดชีวิต หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ยากที่จะพรากจากกันไปได้ ก็คือ โลภะหรือความติดข้อง นั่นเอง

~ พูดจริงทุกกาละ (ทุกเวลา) กับทุกบุคคล ไม่เสียหาย ไม่ผิด ไม่เป็นที่รังเกียจ ไม่เป็นที่ติเตียน (เพราะฉะนั้น) ก็ทำสิ่งที่รู้ว่า " ดี "

~ เห็นประโยชน์ เห็นคุณของความดี (กุศล) ว่า เป็นสิ่งเดียว ซึ่งเมื่อค่อยๆ สะสม ค่อยๆ เพิ่มขึ้นก็สามารถที่จะละทางฝ่ายอกุศลได้

~ กุศล (ความดี) ไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่อกุศล (ความชั่ว) ทั้งหมด ก็เป็นปัจจัยทำให้เกิดปัญหา ตั้งแต่เล็กจนถึงปัญหาที่ใหญ่ได้

~ ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน เหมือนกันหมด คนไม่รู้ ก็คือ คนไม่รู้ คนไม่เห็นประโยชน์ (ของพระธรรม) ก็ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม คนไม่มีศรัทธาก็ไม่มีศรัทธา

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ให้ใครฟัง? ให้คนที่ฟังแต่ละคน

~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งไม่สามารถจะคิดเองได้ เลย

~ สภาพธรรมที่จะละความติดข้อง ก็เป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะว่า ความติดข้องทั้งหมด เกิดจากความไม่รู้

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ในกี่พระสูตร ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะว่า ฟังครั้งเดียวไม่พอ

~ รู้ว่ามีกิเลสมาก แต่ไม่ฟังพระธรรม จะบรรเทาละคลายกิเลสได้อย่างไร?

~ ขณะที่ชื่นชมในความดีของบุคคลอื่น ขณะที่ช่วยเหลือเกื้อกูลบุคคลอื่น นั่น เพราะ สติเกิดขึ้นระลึกเป็นไปในกุศล

~ ขณะที่เข้าใจธรรม จิตผ่องใสจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะฟังต่อไปไหม ถ้าฟังต่อไป นั่นคือ ผู้มีศรัทธา.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๕

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
panasda
วันที่ 28 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 28 ม.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 28 ม.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
siraya
วันที่ 29 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 29 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 29 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
มกร
วันที่ 30 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 30 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 1 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kukeart
วันที่ 1 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Nataya
วันที่ 11 ก.พ. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 10 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ