โอวาท 3
เมื่อก่อนสมัยเรียนตั้งแต่ประถม ได้ยินแต่คำว่า โอวาทปาติโมกข์ ปัจจุบันในหนังสือเรียนชั้นประถมมักจะใช้คำว่า โอวาท 3 ซึ่งไม่ทราบว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร จนบางครั้งผู้เรียนรู้จักแต่โอวาท 3 แต่ไม่รู้จัก โอวาทปาติโมกข์ จึงอยากทราบว่า หากจะใช้ในการสื่อสารกันให้เข้าใจในปัจจุบัน ควรใช้คำใด ถ้าใช้คำว่า โอวาท 3 จะเป็นการบิดเบือนคำในพระไตรปิฎกหรือเปล่า
ขอขอบพระคุณ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โอวาท ๓ ก็เป็นคำที่แต่งขึ้นมาภายหลัง ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ใช้คำว่า โอวาท ๓ เมื่อมีการแต่งเติม เปลี่ยนไป พระธรรมก็ค่อยๆ อันตรธาน เพราะ พยัญชนะคลาดเคลื่อน อรรถะ ความหมายก็ค่อยๆ คลาดเคลื่อนตามความคิดเองเองของผู้แต่งขึ้น เพราะฉะนั้นควรที่จะดำรงรักษาคำสอนตามพระไตรปิฎกที่ถูกต้องที่เป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอย่างยิ่ง เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งจะได้เกื้อกูลสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก จึงทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา๔๕ พรรษา ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตามจนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงแสดงนั้น ไม่มีความแตกต่างกันเลย เหมือนกันทั้งหมด และเป็นพระธรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา และมีความเข้าใจ อย่างแท้จริง เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละอกุศล เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น (ละชั่ว) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (ทำความดี) และ การยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์ (สำสอนที่เป็นหลักสำคัญ) นั้น ก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่ว ไม่มีตัวตนที่จะทำความดี และไม่มีตัวตนที่จะยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม และธรรมนั้นเอง จะทำหน้าที่ละชั่ว ทำความดี และยังจิตของตนให้ผ่องใส เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเองเป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) สะสมปัญญาไปตามลำดับ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะขาดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ได้เลย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...