ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๙
~ อกุศลธรรมเป็นพืชเชื้อที่ตายยาก ดับยาก ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยถ่องแท้ โดยละเอียด ถูกต้องจริงๆ อกุศลธรรมทั้งหลายไม่สามารถที่จะดับได้
~ สภาพธรรมที่เป็นอกุศลนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่เวลาที่เป็นโทสะ แม้ในขณะที่เป็นโลภะ หรือโมหะ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลแล้ว และข้อสำคัญก็คือว่า ลักษณะของอกุศลที่ละเอียด ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่า เป็นอกุศล ก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นกุศล
~ ก่อนบวชก็ไม่ได้ฟังธรรม ไม่เข้าใจธรรม รู้ไหมว่าบวชเพราะอะไร บวชเพราะไม่รู้ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ก็เป็นกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) และบวชแล้วก็ไม่ศึกษาธรรมด้วย ไม่ประพฤติตามพระวินัยด้วย นั่นหรือคือภิกษุ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า มหาโจร เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นคนธรรมดา ปล้นเขา ชิงเขา เอาของเขามา ใครๆ ก็เห็นพฤติกรรมนั้นว่า เป็นโจร แต่นี่เป็นผู้ที่รับสิ่งของซึ่งเขาให้กับผู้สมควร คือ ผู้ที่มีชีวิตที่ศึกษาพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลส แต่ไม่มีความประพฤติอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกับลักขโมยเอาของที่เขาให้คนอื่น คือ ผู้ที่มีคุณอย่างนั้นมาเป็นของตน ซึ่งไม่มีคุณอย่างนั้นเลย
~ เงินทอง ทำอันตรายแก่ตัวเองที่เป็นภิกษุ เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่เป็นผู้ที่ไม่ตรงหลอกลวงตั้งแต่บวช การบวชเพื่อศึกษาพระธรรม และประพฤติตามพระวินัย แต่ถ้าภิกษุใด ไม่ศึกษาพระธรรมเลยแล้วจะเป็นภิกษุได้อย่างไร การบวช ไม่มีความหมายเลย ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น พฤติกรรมว่าใครเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยหรือใครไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย (พิจารณาได้ว่า) เพียงแค่ความประพฤติที่ไม่ใช่การขัดเกลากิเลส ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
~ วัดในภาษาบาลีใช้คำว่า อาราม ต้องเป็นที่อยู่ของ (ภิกษุสามเณร) ผู้ที่เข้าใจธรรมถ้าไม่เข้าใจธรรมจะอยู่ที่นั่นทำไม จากคฤหัสถ์ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยสมบัติ เรื่องสนุกสนานต่างๆ แล้วก็สละชีวิตของคฤหัสถ์โดยเด็ดขาด ไม่ยินดีในเงินและทอง ไม่ยินดีในอะไรๆ ทั้งหมดที่เคยเป็นมา กาย วาจา ต้องงามตามพระวินัย
~ พระภิกษุที่ต้องอาบัติ (ล่วงละเมิดพระวินัย) ก็ปลงอาบัติ (แสดงโทษของตน) แล้วไม่ทำอีก แต่ถ้าไม่ปลง ก็ตกนรกแน่เพราะอะไร? (เพราะ) คนธรรมดา ถ้าทำผิดยังตกนรกเลย นี่เป็นพระภิกษุที่ปฏิญาณว่าจะดำรงชีวิตที่ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต จึงได้ลาภจากชาวบ้าน เป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ทุกอย่าง โดยตนเองไม่ต้องแสวงหาอะไรเลยทั้งสิ้น เหมือนกับล่อลวงคนให้หลงเชื่อ ว่า เป็นผู้ที่ทำความดี แต่ไม่ได้ทำเลย
~ ถามภิกษุรูปใดก็ได้ ว่า บวชทำไม จะมีพระภิกษุรูปไหนที่จะตอบว่า บวชเพื่อเข้าใจพระธรรมศึกษาพระธรรมขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต
~ ภิกษุทุศีล ลาสิกขาบทเสีย ก็ยังพ้นจากอบาย สมควรไหมที่จะกล่าวถึงให้รู้ว่า ถ้าเป็นผู้ที่ไม่สมควร ทั้งผู้ที่เป็นพระอุปัชฌาย์ และทั้งผู้ที่บวช ก็เหมือนก้าวเท้าลงสู่นรกทันทีที่จุติจิต (จิตที่ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) เกิดขึ้น
~ บุญ คือ สภาพจิตที่ดีงาม ต้องการให้คนพ้นจากความทุกข์ยากเดือดร้อน จิตขณะนั้นสละความเห็นแก่ตัวเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น ขณะนั้นต่างหากที่เป็นบุญ
~ ถ้าเขาพูดผิด ก็รู้ว่าผิด เพราะมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ได้ฟังพระธรรมแล้วไตร่ตรองแล้วเข้าใจแล้วจึงรู้ว่าคำอื่นซึ่งต่างไปจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและรู้ว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมจริงๆ จะรู้เลย (ว่า) ชีวิตที่แล้วมาในสังสารวัฏฏ์ มีค่าตรงไหน แต่ละครั้ง แต่ละหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะก็ผ่านไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เดี๋ยวนี้ ชาตินี้ เราคิดว่าอะไรมีค่า รักษาไว้ แต่เสร็จแล้วก็ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ อะไรมีค่ากว่านั้น ประมาณค่าไม่ได้เลย คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นคำจริงทุกคำ
~ จุดประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อได้รู้ความจริงที่จะดับกิเลส ทรงแสดงหนทางซึ่งใครก็ไม่รู้จักกิเลส ให้ได้รู้จักแล้วก็อดทนที่จะบำเพ็ญเพียรบารมี (คุณความดี) ต่างๆ เพื่อที่จะได้สามารถค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะปัญญาเท่านั้น ที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
~ เมื่อมีความเข้าใจผิดมานานแสนนาน พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้สามารถเข้าใจถูก
~ การที่เปิดเผยพระธรรมและพระวินัยให้กระจ่างให้คนได้รู้ชัด นั่นก็คือ การที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ดับกิเลสถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง คือ ไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลย เพราะฉะนั้น คำสอนทุกคำเป็นไปเพื่อการค่อยๆ ขัดเกลาละคลายกิเลส
~ กิเลสไม่มีใครจะไปขัดเกลาได้ นอกจากปัญญา ปัญญามาจากไหน ถ้าไม่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ให้ได้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นคำจริง ใครกล่าว ก็คือ ผู้นั้นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้ว
~ ธรรมดาของคน น้อยคนที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกคิดดูคำพูดแค่นี้ น่ากลัวไหม?เพราะว่ากิเลสมีมากทุกวันด้วยความไม่รู้หรือรู้ก็ตาม แต่ก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ยังจะต้องเกิดอยู่ เพราะเหตุมี ผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้น ความไม่ดีทั้งหมดไม่ได้นำไปสู่สุคติ
~ ต้องรู้จริงๆ จึงสามารถที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ และการที่จะให้พระศาสนาดำรงอยู่ ลองคิดดูว่าคุณมหาศาลแค่ไหน เพราะกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบำเพ็ญบารมีได้ตรัสรู้ ได้แสดงธรรมจนมาถึงเราได้ ให้เราได้มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจถูกต้อง แล้วเราจะไม่ประคับประคองช่วยให้คนอื่นได้เห็นถูกหรือ หรือพากันเห็นผิดไปหมด?
~ ทุกคนที่มีความเข้าใจธรรมแล้ว ก็มีความเป็นมิตรกับคนอื่นที่ไม่เข้าใจและทำในสิ่งทีไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ท้อถอยในการที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย
~ ชีวิตมีค่าที่สุดเมื่อได้เข้าใจพระธรรม ส่วนชีวิตที่ไม่เข้าใจพระธรรม มีแต่จะทำทุจริตต่างๆ และต่ำลงไปในทางทุจริต ในทางอกุศล เพราะความไม่รู้ อะไรจะฉุดทุกคนขึ้นจากความไม่รู้และจากอกุศล ก็มีทางเดียว คือ การมีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ (จาก) คนที่เคยไม่เข้าใจเลย เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงขึ้น และปัญญานั้นก็จะเป็นสังขารขันธ์ (เครื่องปรุงแต่ง) ค่อยๆ ปรุงแต่งให้ความคิดและการกระทำทั้งหมดในชีวิตประจำวันเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเลย
~ ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็อยู่กันด้วยความไม่รู้
~ สิ่งที่จะช่วยกู้ทุกสถานการณ์ แก้ไขทุกเหตุการณ์ได้ ก็คือ การที่เข้าใจพระธรรม
~ ถ้าเห็นคุณประโยชน์สูงสุดของพระรัตนตรัย ก็จะทำให้เรามีความมั่นคง ไม่หวั่นไหวเลยที่จะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
~ เพราะมีความโลภ อยากได้ของของผู้อื่น จึงสามารถที่จะกล่าวเท็จได้
~ ผิด เป็น ผิด ถูก เป็น ถูก แล้วยังจะทำสิ่งที่ผิดหรือ
~ ถ้าเป็นลูกศิษย์ที่ดี ที่หวังดี ก็พูดความจริงกับอาจารย์ สบายมาก นี้คือ การช่วยเหลือ การหวังดี การอนุเคราะห์อย่างยิ่ง ด้วยความจริงใจ ซื่อตรง อะไรถูก ก็กล่าวให้ได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยความหวังดี แล้วจะผิดได้อย่างไร?
~ "กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน (พระอริยบุคคลขั้นแรก) กุศลทั้งหลายต้องเจริญ เพราะเหตุว่า หากมัวแต่พูดไม่จริง แล้วก็ทำอกุศลทั้งหลาย ก็เต็มไปด้วยอกุศล เหมือนทุกๆ ชาติ สะสมแต่อกุศลมากมาย ไม่เห็นคุณของกุศลเลย" การที่พูดอย่างนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ประมาทไม่ได้เลย แม้ยังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ควรที่จะพูดคำไม่จริง เพื่อเป็นการที่ว่าขณะนั้นจะได้สะสมอัธยาศัยไปในทางกุศล ที่จะทำให้กุศลเจริญขึ้น
~ คุณของพระธรรม จะทำให้เป็นไปในทางฝ่ายกุศลที่มั่นคงขึ้น.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...