ธรรม สำหรับข้าราชการและทุกชีวิต
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาพิเศษ
เรื่อง
"พระพุทธศาสนา กับ ชีวิตข้าราชการ"
ที่บ้านคุณทักษพล-คุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๑
[ พ.ต.ท. (ญ.) ทัสสนีย์ ภิรมย์แก้ว
สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.ลำดับที่ ๘๐๓
รองผู้กำกับการงานเปรียบเทียบปรับ
กองบังคับการตำรวจจราจร
ช่วยราชการสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
วิทยากรรับเชิญ ]
(ภาพขณะสนทนา)
(ทีมงานอาสาสมัครที่ทำการบันทึกการถ่ายทำการสนทนาพิเศษในครั้งนี้)
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ทีละคำ ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงได้เลย
~ ชีวิตประจำวัน คือ เดี๋ยวนี้
~ ที่เรากล่าวว่าควรศึกษาธรรมทีละคำ เพราะเหตุว่า เราไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียวที่พระองค์ตรัสด้วยพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น คำว่าธรรม คนที่ไม่รู้อะไรเลย จะมีปัญญาเท่ากับพระองค์ที่ตรัสคำนี้ไหม? เพราะฉะนั้น แสดงว่าทุกคำต้องไตร่ตรอง เพื่อที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่คำว่าชีวิตคืออะไร คำตอบที่ถูกต้องที่สุด คือ ชีวิตคือเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้ มีไหมชีวิต?
~ ถ้าเขาไม่เข้าใจ พระพุทธศาสนาไม่มีประโยชน์สำหรับเขาเลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ตรัสรู้ความจริง เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจถูกเห็นถูก
~ คำสอนทุกคำที่น้อมไปสู่ความเข้าใจในความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นคำสอนที่ไม่ทำให้เข้าใจความจริงของธรรมนั้น แล้วก็เป็นตัวตนที่ให้ทำ ก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ สิ่งที่มีจริงจริง นี่แหละ เป็นแต่ละหนึ่ง จะเรียกชื่อภาษาอะไรก็ได้ เป็นสิ่งที่มีจริง ใช้คำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งนั้น เกิด เป็นแต่ละหนึ่ง ตามเหตุตามปัจจัย
~ ธรรม เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น
~ ทั้งโลก ทุกอาชีพ คนดี ทำดี คนดี ทำชั่วได้ไหม ไม่ได้เลย แล้วคนชั่ว ก็ทำดีไม่ได้ แต่ทำไมทำชั่ว ทำไมทำดี เห็นได้เลยว่า ไม่ใช่เขาไม่อยากจะเป็นคนดี แต่ทำไมเขาทำชั่ว เพราะความไม่รู้ ที่สำคัญที่สุด ก็คือว่า ทั้งหมดเพราะไม่รู้ ถ้าไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ยังไม่ได้ศึกษาธรรมเลย ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว เขาก็ทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะเขาไม่รู้ว่า นั่นคือชั่ว จึงกล้าที่จะทำชั่ว เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษและรู้ ใครจะทำชั่ว แต่เพราะไม่เห็นโทษและไม่รู้ จึงทำชั่ว เพราะอะไร จึงไม่รู้? เพราะไม่ได้ฟังความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นธรรม ที่ไม่ใช่เขาเลย
~ ถ้าใครได้เข้าใจความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ดีขึ้น ทุกคน ทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นข้าราชการ เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นอะไรก็ตาม ทั้งหมด เพราะนั่นเป็นธรรม แล้วจะดีได้อย่างไร จากความไม่รู้ เป็นรู้ขึ้น ถูกต้องขึ้น แล้วจะเอาความรู้ ความถูกต้อง มาแต่ไหน คิดเองก็ไม่ได้ ต้องได้อาศัยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ ถึงแม้ว่า มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต เป็นข้าราชการดำรงตำแหน่งสูง คนก็ติทั้งประเทศ เพราะเขาไม่ดี
~ ความดี ก็เป็นธรรม ความชั่ว ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น
~ ไม่มีเรา แต่มีธรรม
~ เกิดมาแล้วก็ต้องจากโลกนี้ไปวันหนึ่งวันใดซึ่งรู้ไม่ได้เลย อาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ แสนสั้น เด็กเพิ่งเกิดก็ตายได้ คนที่มีอายุมากจนกระทั่งถึง ๑๐๐ ปีหรือ ๑๐๐ กว่าปี ก็ตาย ก็ต่างกันไป ทำได้ไหม บังคับได้ไหม? ไม่ได้
~ จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ความชั่วที่ได้ทำแล้วก็ติดตามไปตามไปด้วย ทรัพย์สมบัติไม่ได้ติดตามด้วยเลย
~ เมื่อได้รู้ความจริงแล้ว เมื่อนั้นแหละเป็นความรู้ที่ประเสริฐสุด ที่สามารถละคลายความยึดถือในสิ่งไม่เที่ยง ชั่วคราว แสนสั้น แล้วก็ไม่ใช่ของเราจริงๆ
~ ธรรม ไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา เกิดขึ้น ไม่ใช่ไม่เกิดขึ้นแต่เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น เราอยู่ไหน อะไรเป็นเรา เพราะเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ต้องเข้าใจความจริงแต่ละคำอย่างมั่นคง ไม่ใช่เผินๆ
~ สิ่งที่ถูก ก็ต้องถูก ไม่ใช่ผิด
~ ทำราชการเพื่อต้องการผลงาน หรือว่า ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนของประเทศชาติ?
~ ต้นเหตุของทุกปัญหา ก็คือ ความไม่รู้ จะแก้ได้ ก็ต่อเมื่อเป็นความรู้จริงๆ เพราะถ้าเราเข้าใจธรรม เรารู้ว่าอะไรดี อะไรชั่วจริงๆ อะไรถูกอะไรผิดจริงๆ ความรู้นั้นต่างหาก ที่จะนำชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง ในทางที่เป็นกุศล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ยืนหยัดในความถูกต้องในทางที่เป็นกุศลที่ดีงาม จะไม่ทำชั่ว เพราะปัญญา แต่ที่มีการทำอะไรต่างๆ เพื่อผลงาน นั่น ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ทำเพราะรู้ว่าข้าราชการคือใคร แล้วก็ทำเพื่ออะไร?
~ ข้าราชการ มีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชน ก็จะต้องไม่ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่จะไม่ให้ทำ (สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์) ได้หรือ ในเมื่อไม่ได้เข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรเป็นอะไร อะไรไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ก็คิดแสวงหาประโยชน์ตน ไม่ได้คิดถึงว่า ข้าราชการ คือ ผู้ที่รับใช้ กระทำงานของแผ่นดิน เพื่อที่จะให้ประชาชน ประเทศชาติ เป็นสุข
~ บารมี คือ การละกิเลส แต่เพราะความไม่รู้ จึงคิดไปว่าความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจ สิ่งที่ไม่ดีนั่นแหละเป็นบารมี แต่ความจริงแล้ว คุณความดีทุกอย่างซึ่งมีความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงสามารถที่จะเห็นประโยชน์ของการทำดี ที่ไม่ทำดี เพราะไม่เห็นประโยชน์ คิดว่าทำชั่ว เป็นประโยชน์กว่า ง่ายดี แต่ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ของคุณความดี ไม่มีทางที่จะทำชั่ว นั้น จึงเป็นบารมี
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เป็นคนดี ให้ทำสิ่งที่ดี ให้เข้าใจความต่างของความชั่วและความดี (อกุศล และ กุศล) ถ้าไม่มีความเข้าใจ อกุศล ก็ชนะ เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือวงการไหนก็ตามแต่ จะดี จะชั่ว ก็เพราะเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจธรรม ซึ่งเป็นความจริง
~ ว่าเขา แล้วเราเป็นอย่างเขาบ้างไหม อย่างเขาโกรธจัดมาก แล้วเราเคยโกรธไหม เขาโกรธ เขาผิด แล้วเวลาเราโกรธล่ะ? (เราก็ผิดด้วย ไม่ใช่ไม่ผิด)
~ ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีความเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน กับใคร
~ ถ้ารู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดี แล้วจะกลัวอะไร
~ ทุกคำที่เป็นประโยชน์ ควรพูด ด้วยความหวังดี
~ เพียงแค่เป็นคนดี " คลุมทุกอย่างหมด "
~ ถ้าเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ ทำไมจึงละเลยการเข้าใจคำของพระองค์ให้ถูกต้องด้วยการเคารพอย่างยิ่ง ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคง เมื่อเข้าใจแล้ว ไม่มีทางที่ความเข้าใจถูก จะนำไปสู่ความประพฤติที่ผิด
~ ใครเป็นผู้ที่ประเสริฐสุด? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าประเสริฐจริง คำของพระองค์ประเสริฐไหม แล้วรู้จักคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ควรรู้ ถ้าไม่รู้ ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาใดๆ ได้
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ยังเต็มไปด้วยความเป็นตัวตน เมื่อมีความเป็นเรา ก็ต้องการสิ่งต่างๆ เพื่อเรา ต้องการเพื่อเรา โดยความไม่รู้ ก็ผิดแล้ว
~ เห็นโทษของความไม่รู้ แล้วนำความไม่รู้และความไม่ดี ออกไปได้ ก็ต่อเมื่อมีความรู้ แล้วจะไปหาความรู้จากที่ไหน ถ้าไม่ใช่จากผู้ที่ทรงตรัสรู้ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ โลกไม่สงบ เดือดร้อนวุ่นวายทั้งหมด เพราะกิเลส ไม่มีทางที่จะหมดได้เลย ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง คือ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จะระงับความไม่สงบสุขทั้งหลายได้ ก็ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้ฟังอย่างนี้แล้วยังจะเฉยเมยไหม
ทั้งๆ รู้ว่า นี้แหละเป็นสิ่งเดียวที่สามารถที่จะนำความสงบสุขมาให้
จากการที่เริ่มเข้าใจถูกต้อง คือ ปัญญา, ปัญญา เห็นถูกเข้าใจถูก
ต้องนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้องที่เป็นคุณความดีทั้งหมดได้
~ ภิกษุที่ทำเครื่องรางของขลัง นั่น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะว่าภิกษุ คือ ผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น เมื่อมีธรรมที่จะทำให้พ้นจากภัยในสังสารวัฏฏ์ จึงสละเพศคฤหัสถ์ ไม่ทำกิจอื่นที่ไม่ใช่กิจของภิกษุ ไม่ทำเครื่องรางของขลัง ทุกอย่างต้องตรง มิฉะนั้น ประเทศชาติก็เป็นอย่างนี้ คือ มีแต่เครื่องรางของขลัง เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
~ เครื่องรางของขลัง เป็นการหลอกลวงหรือเปล่า? ผ้าธรรมดาแล้วไปให้คนอื่นเขาเชื่อว่าเป็นของขลัง ทำอะไรมาผ้านั้นถึงจะขลัง แล้วคนที่เขาไม่มีเครื่องรางของขลังเลย ได้ลาภมหาศาลมีไหม? มี, แล้วคนที่มีเครื่องรางของขลัง แต่ประสบภัยพิบัติต่างๆ มีไหม? ก็มี แล้วทำไมถึงไปหลงคิดว่านั่นเป็นเครื่องรางของขลัง?
~ ภัยที่ร้ายที่สุด คือ ทำให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาผิด เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลผู้เลิศทุกประการ ทั้งในทางอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่มีผ้ายันต์เลย แต่มีคำสอนทุกคำที่จะทำให้ทุกคน จากความไม่รู้ เป็นผู้มีความเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้
~ คอรัปชัน ที่ใหญ่ที่มองไม่เห็น คือ การทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ผู้ที่ไม่รู้จักพระธรรมวินัยเลย ก็บวช ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่า พระคือใคร พระเอง ก็ไม่รู้ว่าพระคือใคร ต้องมีความสำนึก ภิกษุต่างจากคฤหัสถ์ด้วยอะไร? ไม่ใช่ด้วยการอยากจะบวชครองจีวรแล้วมีผู้คนกราบไหว้แล้วถวายสิ่งต่างๆ ตามใจชอบ คอรัปชันหรือเปล่า ไม่ใช่คอรัปชันทางโลกทางวัตถุ แต่คอรัปชัน คือ ความเสื่อมโทรมของสภาพจิตซึ่งเต็มไปด้วยอกุศล ความเห็นผิด ต้นเหตุก็มาจากคนที่หลงผิด เข้าใจผิด ทำในสิ่งที่ผิด เพราะฉะนั้น ก็ลามไปถึงวงการต่างๆ เพราะมีความเข้าใจผิด
~ ภิกษุ คือ ผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์บ้าง สนุกสนานกันทุกวัน ภัยอยู่ไหน? เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ หมายความว่า ได้ฟังพระธรรม เห็นคุณค่าอย่างยิ่ง ถึงกับสามารถสละ ละเพศคฤหัสถ์ที่เคยเป็นมา เพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต โดยจะต้องประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยทุกข้อ
~ ไม่ว่าจะเป็นวงการตำรวจ หรือ วงการใดๆ ก็ตาม เมื่อมีผู้เข้าใจพระพุทธศาสนา ก็ช่วยกันทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาได้ต่อไป.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ...