ไม่ต้องตามใครทั้งโลกที่ผิด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ไม่ต้องตามใครทั้งโลกที่ผิด"
ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรม
ที่ห้องสราญรมย์
โรงแรมนิวซีซั่น สแควร์ อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑
~ อะไรเป็นเหตุทำให้เกิดความไม่เหมาะสม? (ความไม่รู้) ไม่ว่าจะเป็นโดยนัยของวัดมีสิ่งซึ่งทำให้กิเลสกำเริบ ไม่ใช่สิ่งที่ละคลายกิเลส ไม่ตรงกับความเป็นจริงว่า วัดต้องเป็นที่อยู่ของผู้สงบ เป็นผู้ที่เข้าใจธรรม จึงสามารถที่จะเป็นคนดีตามพระธรรมวินัย เป็นภิกษุซึ่งเป็นพุทธบริษัทที่เป็นประโยชน์ แต่สถานการณ์เดี๋ยวนี้ เราก็เห็นได้ว่า ทำไม (พระพุทธศาสนา) วิกฤติอย่างนี้ เสื่อมหนักจนกระทั่งใกล้ที่จะหมด บางคนก็บอกว่าหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พุทธบริษัทก็ยังมีความเคารพในพระศาสนา ในพระธรรมวินัย แต่ต้องเคารพด้วยความเข้าใจธรรม ไม่ใช่เคารพเพียงด้วยการกราบไหว้
~ การเป็นพระภิกษุนั้น จะไม่กระทำกิจหน้าที่ของคฤหัสถ์เลย การสร้างวัดเป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ และสร้างทำไม ทุกอย่างต้องเป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นการทำลายประโยชน์ของบุคคลและประเทศชาติ เสียเงินเสียทองมากมายมาโดยตลอด เพราะความไม่รู้
~ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ยังไม่มีความเข้าใจถูก ก็ยังเห็นผิดต่อไป
~ เมื่อพุทธบริษัทไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใจพระธรรม จึงประพฤติเป็นไปในทางที่ไม่ชอบ ในทางทุจริตต่างๆ หนทางเดียวที่จะแก้วิกฤติ ก็คือว่าเริ่มเข้าใจประโยชน์และเห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย ว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ จะมีประโยชน์อะไรต่อการที่จะเพียงกราบไหว้ด้วยความไม่รู้แล้วก็ทำสิ่งต่างๆ ที่ผิดมากมายทั่วประเทศ
~ อาจหาญที่จะกล่าวคำจริงให้ทุกคนได้เข้าใจถูกตามเหตุตามผลที่ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้ว พระพุทธศาสนาที่ยังวิกฤติอยู่ ก็จะยิ่งวิกฤติต่อไป
~ พระภิกษุ ควรที่จะได้ฟังคำของอุบาสกอุบาสิกาด้วย เพราะว่า อุบาสกอุบาสิกา เข้าใจถูก ว่า พระภิกษุคือใคร ต่างจากคฤหัสถ์อย่างไร ทำกิจของคฤหัสถ์สักนิดเดียวก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเพศที่ต่างกัน ภิกษุใดอยากจะช่วยใครในฐานะของคฤหัสถ์ ก็ลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์สามารถที่จะกระทำการสงเคราะห์ได้อย่างเต็มที่เลย แต่ถ้าเป็นพระภิกษุ ต้องรู้ฐานะของความเป็นพระภิกษุซึ่งจะต้องเคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบัญญัติวินัย ไม่ใช่ว่าไม่ศึกษา ไม่เข้าใจแล้วก็พูดคำที่ทำลายคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มากมายทุกประการ
~ ณ บัดนี้ คฤหัสถ์รู้ความจริงว่า ภิกษุใด ยินดี รับเงินและทอง ภิกษุนั้นต้องอาบัติเป็นโทษที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย
~ ถ้าอุบาสกอุบาสิกา ไม่ถวายเงินแก่พระภิกษุเลย ภิกษุอยู่ได้ ภิกษุนั้น ก็คือ ผู้ที่จะอยู่เพื่อศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลส สมควรที่จะเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย และไม่ใช่เพียงข้อเดียว ข้ออื่นก็ยังมีอยู่อีกที่คฤหัสถ์ควรศึกษาให้เข้าใจ ที่จะรู้ว่าคฤหัสถ์ควรจะสงเคราะห์ภิกษุได้อย่างไร
~ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว คฤหัสถ์กล่าวคำนั้นด้วยความหวังดี เพื่อที่จะให้รู้ว่า ที่เคารพบูชาสูงสุดของพุทธบริษัทก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คนชื่อนั้นชื่อนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้น อยู่ได้แน่นอน คือ ภิกษุที่ไม่รับเงินและทอง แล้วควรจะถามภิกษุที่รับเงินและทองว่า เอาเงินทองไปทำอะไร ตอบได้ไหมว่าจะเอาไปทำอะไร เพราะตามพระธรรมวินัยแล้ว ภิกษุรับเงินรับทองไม่ได้ เมื่อรับแล้ว เป็นอาบัติ ต้องสละให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย จึงจะปลงอาบัติและพ้นจากอาบัตินั้นได้
~ ภิกษุคือใคร? สละทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิจของคฤหัสถ์เพื่อศึกษาธรรมขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น เพศบรรพชิตเป็นเพศที่สูงส่งมากสำหรับผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงและขัดเกลากิเลสด้วยความเข้าใจพระธรรมวินัย แต่ถ้าเพียงเครื่องนุ่งห่มที่ต่างจากคฤหัสถ์ แต่พฤติกรรมเหมือนกับคฤหัสถ์เลย จะเป็นภิกษุได้ไหม? เป็นภิกษุไม่ได้เลย
~ การทำตามๆ กันมา โดยไม่เข้าใจเหตุผล จะถูกไหม? ไม่ต้องตามใครทั้งโลกที่ผิด (แต่) เป็นคนถูกคนหนึ่ง หนึ่งหลายๆ หนึ่งในโลก โลกก็เจริญเพราะความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ ชาวพุทธต้องเป็นผู้ที่อาจหาญร่าเริงที่จะกระทำสิ่งที่ถูก ศึกษาธรรมให้เข้าใจและช่วยกันแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ว่าสิ่งใดผิด ทำไม่ได้ ไม่ควรทำ เช่น ไม่ควรให้เงินแก่พระภิกษุ ถ้าไม่ให้เงินแก่พระภิกษุ แล้วพระภิกษุจะมีเงินไหม จะไปทำสิ่งที่ทำกันอยู่อย่างผิดๆ ได้ไหม? ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น หนทางหนึ่งสำหรับคฤหัสถ์ ก็คือ ไม่ให้เงินแก่พระภิกษุ
~ คนที่ไม่เข้าใจ นั้น มีมาก จึงไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น หนทางเดียว ก็คือว่า มีทางใดที่จะช่วยให้คนได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็ทำ ไม่รีรอ เพราะใครจะรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน
~ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นทั้งสิ้นไม่ใช่เพื่อเป็นที่รัก ไม่ใช่เพื่อให้เขารู้ว่าเราเก่งไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อยศ ไม่ใช่เพื่อคำสรรเสริญ แต่สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านั้น ก็คือ ความเข้าใจถูก ซึ่งไม่สามารถที่จะเกิดได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ก็มีชาวพุทธที่เห็นประโยชน์นี่แหละ ที่จะดำรงคำสอนของพระศาสนา และก็จะช่วยกันพูดสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ ด้วยความหวังดี เพราะฉะนั้น ถ้าพูดว่าคฤหัสถ์ไม่ให้เงินทองแก่พระภิกษุพูดผิดหรือเปล่า? เป็นประโยชน์หรือเปล่า? ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาล ทั้งคฤหัสถ์นั้นเองที่จะไม่ช่วยกันทำลายพระศาสนา และทั้งพระภิกษุที่จะรู้ถึงความเป็นพระภิกษุจริงๆ ว่า ภิกษุคือใคร ถ้าไม่มีความเข้าใจ ไม่มีการเริ่มต้นอย่างถูกต้อง วิกฤติของพระพุทธศาสนาอย่างนี้ ก็จะวิกฤติยิ่งกว่านี้อีก
~ ต้องเป็นคนที่อาจหาญ เกิดมาแล้วต้องตายทุกคน ก่อนตาย ก็ทำดี และทำดีต้องเข้าใจธรรมด้วย เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็ดีได้เฉพาะเพียงส่วนที่สะสมมา แต่ว่าถ้าดีเพราะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ความดีนั้นก็เพิ่มขึ้น มากขึ้น ไม่เห็นจะต้องกลัวตายเลย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องตายกันทุกคน วันนี้ก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ตายที่ไหนก็ได้
~ ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือ เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ก็จะต้องช่วยกันศึกษาให้เข้าใจจริงๆ และต้องรู้ว่า ถ้าผิดก็เป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์เลย เช่น สำนักปฏิบัติ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะไม่มีปัญญาเลย
~ ปลูกฝังเยาวชนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่เล็ก ไม่ใช่ให้ไปบวชเป็นสามเณร
(๒ เยาวชนหาดใหญ่ คือ น้องชิชิ อายุ ๑๐ ขวบ
และน้องการ์ตูน อายุ ๗ ขวบ ร่วมฟังพระธรรมในครั้งนี้)
~ ทำความดี ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเป็นสามเณรเลย เด็กๆ ก็สามารถทำความดีได้
~ เคารพในพระรัตนตรัยหรือเปล่า นับถือพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจ ก็ทำสิ่งต่างๆ อย่างที่ทำตามๆ กันไป ด้วยความไม่รู้
~ ลองคิดให้ลึก ให้ตรง ถ้ามีรูปภาพโฆษณา ว่า วัดในประเทศไทย มีตลาดน้ำ มีตลาดนัด มีของขาย มีทุกสิ่งทุกอย่าง ส่งเสริมการท่องเที่ยว อายไหม เห็นไหมว่า คิดผิด เป็นอย่างหนึ่ง แต่คิดถูกต้อง เป็นอีกอย่างหนึ่ง และ ภาพอย่างไหน จะสวยงามกว่ากัน ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ในวัดเลย มีความสงบ คนที่มาก็เรียบร้อย ไม่มีการส่งเสียงดัง ไม่มีการเอะอะ นั้น ถูกต้อง งดงามกว่าไหม กับ การที่จะไปให้เขาเห็นว่านี่ไงประเทศไทยรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนา ไปวัดไหนก็เต็มไปด้วยของขาย ของกิน เต็มไปด้วยอะไรต่างๆ มากมาย เลอะเทอะเปรอะเปื้อน สมควรไหมที่จะเป็นที่อยู่ของผู้สงบ แม้คำนี้ เขาก็ไม่คำนึงถึง
~ แล้วก็ลองคิดถึงภาพ ๒ ภาพ คือ เด็ก โรงเรียนหยุด ไปทำความดีต่างๆ กับ เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ใส่ผ้าเหลืองแล้วเขาก็เล่นกันสนุกสนานเกรียวกราวภาพไหนสมควร? [ถ้าเอาผ้าเหลืองออก เด็กเหล่านั้นวิ่งเล่นกันเกรียวกราว แต่เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ก็ทำความดี มีผู้ที่ให้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นความดี ให้ความรู้ต่างๆ ย่อมต่างกันแน่นอน อย่างไหนจะถูกต้องเหมาะควร?]
~ ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะเป็นธรรมทายาทได้อย่างไร
~ คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อดับกิเลส ดับทันทีไม่ได้แน่ ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ทำหน้าที่ของการค่อยๆ ละคลายกิเลสตามระดับขั้นของปัญญา
~ ฟังด้วยดี คือ รู้ว่าอะไรจริง อะไรถูก อะไรผิด เพื่อประโยชน์ คือ จะได้ไม่กระทำในสิ่งที่ผิด
~ ทำไมจึงเป็นอกุศลต่างๆ ? เพราะไม่รู้ เช่น ถ้าไม่รู้ ต้องติดข้องแน่นอน เพราะไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ว่า เพียงเกิดปรากฏแล้วก็ดับไป หมดไป เท่านั้น
~ ปัญญา เห็นตรงว่า อะไรดี อะไรไม่ดี ปัญญาก็นำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นธรรมที่ดีงามตามลำดับขั้นของปัญญา
~ สติเป็นธรรมที่ระลึกเป็นไปในทางที่ดี ถ้าคิดว่าจะไปฆ่าเขา เป็นสติหรือเปล่า? ก็ไม่ใช่เลย แต่ต้องเป็นการระลึกเป็นไปในทางที่ดีทุกอย่างแม้แต่การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น สิ่งของนั้น เราก็ไม่ได้ใช้ เสียดายไปทำไม เก็บไว้ทำไม แต่ (เมื่อได้ให้ไปแล้ว) คนอื่นพอเขาได้รับ เขาปลาบปลื้มใจ ใช้เลย เห็นไหม สติเกิดระลึกเป็นไปในการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์
~ ถึงแม้ไม่ได้ให้อะไรแก่ใคร เป็นเพื่อนหวังดีได้ไหม? ได้, นั่นเพราะสติเกิด, ของตก ไม่เก็บให้ กับ ของตกเก็บให้เจ้าของ ถ้าสติไม่เกิดก็ไม่ทำเพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เราเลย ความดีทางกายทางวาจาทั้งหมด เพราะจิตประกอบด้วยธรรมฝ่ายดี
~ ดำรงพระพุทธศาสนาความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ทีละคำ ก็เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกเห็นถูก.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...