ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๕
~ พระพุทธศาสนา คำนี้ประเสริฐแค่ไหน ให้ความจริง ซึ่งชาวโลกไม่เคยรู้มาก่อน เกิดมาในโลกไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติในแสนโกฏิกัปป์ ก็ไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้อะไรเลยตั้งแต่เกิดจนตายมาก่อน นานแสนนาน แต่คำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้ ทำให้สามารถที่จะรู้ความจริงในสิ่งที่ถูกปิดไว้สนิท
~ คำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ฟัง ต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ และความเข้าใจต่างหากที่จะละความติดข้อง
~ สิ่งที่เป็นโทษ จะเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ได้ไหม? เป็นไปไม่ได้
~ เห็นความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะปัญญาจะถือเอาแต่สิ่งที่ควร ที่เป็นประโยชน์ และจะทิ้งสิ่งที่ไม่ควร
~ ใครก็ตาม ที่ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพที่จะเข้าใจจริงๆ คนนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย
~ ก่อนฟังธรรมไม่รู้หรอกว่ามากไปด้วยความไม่รู้และความไม่ดีระดับไหน เหมือนเป็นคนดีกันทุกคน แต่ว่าพอฟังพระธรรมแล้ว ความเข้าใจแม้จากคำที่ได้ฟัง ขณะนั้น สภาพของจิต ต้องต่างจากขณะที่ไม่เข้าใจ แค่นี้คิดดู แค่ขณะที่เข้าใจต้องต่างจากขณะที่ไม่เข้าใจ ขณะนั้น ไม่มีความไม่รู้ ไม่มีความติดข้อง ไม่มีอกุศลใดๆ เกิดขึ้น คิดดูว่าสภาพของจิตขณะนั้น แม้เพียงชั่วขณะนั้น เป็นอย่างไร ก็ต้องผ่องใส เพราะปราศจากความไม่รู้ ซึ่งก่อนฟังไม่รู้ หนาแน่นไปด้วยความไม่รู้
~ ก่อนจะเริ่มทรงแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ด้วยพระมหากรุณา ทรงเตือนเลยว่า "จงฟังให้ดี เราจะกล่าว" เพราะฉะนั้น คำแต่ละคำมีค่ามาก
~ กิเลสทั้งหลาย ถ้าไม่มีปัญญา ก็ขัดเกลาไม่ได้ จึงไม่ขาดการที่จะศึกษาอบรมเจริญปัญญา และประพฤติตามพระธรรมวินัย
~ เป็นโอกาสดีที่พุทธบริษัทซึ่งเป็นคฤหัสถ์ เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจพระธรรมและพระวินัย ไม่ใช่ละเลยเพิกเฉยที่จะปล่อยให้ไม่มีการที่จะเข้าใจและประพฤติผิดตามๆ กัน
~ คำไม่จริงทำลายจริง และคำที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัยก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด
~ การได้ยินอย่างอื่นจะมีประโยชน์ไหม ก็เพียงแต่ได้ยิน แล้วก็เกิดความยินดียินร้าย ตลอดเรื่อยมาในสังสารวัฏฏ์ ยอดของการได้ยิน ต้องเป็นการได้ยินที่ดับกิเลสได้ แต่เมื่อยังดับกิเลสไม่ได้ สิ่งที่จะเริ่มเป็นยอด ก็คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม
~ การที่แต่ละคนเข้าใจธรรม เป็นทางเดียวที่จะดำรงคำสอนของพระพุทธศาสนาไว้ได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมเลย แล้วจะกล่าวว่าจะรักษาพระพุทธศาสนา จะรักษาอย่างไร? เพราะเหตุว่า ใครก็ตามที่เข้าใจพระธรรม พระศาสนาก็ดำรงอยู่ เพราะยังมีผู้ที่เข้าใจ แต่เมื่อใดที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ พระศาสนาดำรงอยู่ได้ไหม? พระศาสนาก็อันตรธาน (หายไป สูญสิ้น) ไปจากคนที่ไม่เข้าใจ แต่ละคนๆ จนไม่เหลือ
~ จะดำรงพระศาสนาได้ ก็คือ ฟังพระธรรม ศึกษาความจริง ไตร่ตรองความจริง ในแต่ละคำ เพราะรู้ว่า คนอื่นจะไม่สามารถที่จะทำให้ เกิดปัญญาความเห็นถูกได้ นอกจากฟังเฉพาะคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ ผู้ใดกล่าวคำจริง คำจริงนั้น เป็นคำของเรา เพราะทรงตรัสรู้ จึงได้มีคำจริงนั้นๆ ไม่ว่าใครจะกล่าวคำจริงคำไหน ความเข้าใจในความจริงนั้นมาจากใคร ก็ต้องมาจากการที่เขาได้ศึกษาธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเข้าใจจริงๆ จึงสามารถที่จะกล่าวคำจริงนั้นๆ ได้ ใครจะกล่าวคำไหน คำจริงนั้น ก็มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมด
~ ต้องเป็นผู้ที่อดทน แล้วก็รู้ว่าการฟังพระธรรมทำให้เข้าใจว่าไม่ใช่เราตามกำลังของปัญญาที่กำลังเริ่มเข้าใจ
~ สิ่งที่ผิด จะถูกไม่ได้ สิ่งที่ถูก จะผิดไม่ได้
~ กว่าจะรู้จริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมและเข้าใจจริงๆ มากแค่ไหน?
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา แต่ละคำเป็นปัญญาทั้งหมด เป็นคำที่ทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง
~ ฟังพระธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ ความเข้าใจก็เริ่มที่จะเห็นความจริงตามลำดับขั้น
~ กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด ขณะที่กรรม (การกระทำที่ดี หรือ ไม่ดี) เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อไหร่ ผลของกรรมก็เป็นสภาพที่ปกปิด อย่างเช่น ไม่รู้ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ มาจากรรมในชาติไหน?
~ แต่ละคำ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสเรื่องอะไร ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น นี้คือ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม มีค่าทุกครั้งที่ความเข้าใจเกิดขึ้น
~ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรม คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ที่เคารพในพระองค์ ต้องดำรงรักษา แล้วช่วยกันทำหน้าที่ของพุทธบริษัท ใครจะทำหรือไม่ทำ นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่คนที่เห็นคุณของพระธรรม ต้องไม่ลืม "ผู้ที่เห็นคุณของพระธรรม" ย่อมเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของแต่ละคำที่พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ รวมทั้งพระวินัยด้วย
~ มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อที่จะช่วยกันให้แต่ละคนพ้นจากกิเลสตามสมควร จากการที่จะเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่า กิเลสทั้งหลายไม่มีทางเลยที่ใครจะไปลบ ไปล้าง ไปละ ไปทำให้บรรเทาลงได้นอกจากความเข้าใจถูกเท่านั้น
~ โลภะ พาไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือที่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางเลยที่สัตว์โลกจะรู้ความจริง เพราะถึงแม้ว่า จะอยากบวชอย่างไร ก็เป็นความอยาก และเป็นความไม่รู้
~ การบวชโดยไม่รู้ว่าเพื่อการขัดเกลากิเลส นำมาซึ่งโทษ เช่น รับเงินรับทองซึ่งเป็นวิสมโลภะ (โลภะที่เกินประมาณ) เพราะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ตามพระวินัยบัญญัติที่จะขัดเกลากิเลสโดยการศึกษาธรรมให้เข้าใจ ขัดเกลากิเลสโดยต้องประพฤติตามธรรมวินัย แต่ก็รับเงินและทอง เพราะฉะนั้น ก็เป็นโลภะประเภทที่เป็นวิสมโลภะ (โลภะที่เกินประมาณ) ชัดเจน
~ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมและไม่พฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย เพราะว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ รู้คุณค่าอย่างยิ่งที่จะค่อยๆ เข้าใจเพื่อขัดเกลาความไม่รู้
~ ยุคสมัยก็เปลี่ยนไปจนกระทั่งในการบวช ก็ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย เพราะว่าไม่ใช่เพื่อที่จะศึกษาและขัดเกลากิเลส
~ แม้พระเถระทั้งหลายที่กระทำสังคายนาครั้งที่หนึ่ง เป็นพระอรหันต์ที่มีคุณวิเศษ ทั้งหมด ไม่เพิกถอนคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ แล้วก็ไม่เพิ่มเติมด้วย
~ ภิกษุต้องประพฤติตามพระบิดาคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัยด้วยพระองค์เอง เหมือนการดูแลบุตรอย่างละเอียดยิ่งว่า การประพฤติอย่างไร แม้เพียงเล็กน้อยที่ผิด ก็นำไปสู่หายนะความเสื่อมอย่างใหญ่หลวงโดยที่ว่าผู้นั้นไม่เห็นโทษไม่เห็นภัยเลย
~ ภิกษุใดที่รับเงินรับทองไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย และเป็นผู้ที่นำความวิบัติและหายนะมาสู่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติ เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่ผู้อื่นหลงเชื่อ ไม่ว่าจะพูดอะไรทั้งนั้น
~ ใครก็ตามที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ผู้นั้น ก็ออกจากพระธรรมวินัย ไม่ใช่ผู้นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ตราบใดที่ยังเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของพระธรรม แม้ว่าชาตินี้อาจจะได้เข้าใจธรรมขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ถูก ต่อไปข้างหน้าก็จะไม่หลงผิด ไม่ไปทางผิด และก็รู้ว่าสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาต่อไปได้
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...