ความเสื่อมอย่างมาก มาจากใคร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาพิเศษ
เรื่อง วิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ (ครั้งที่ ๒)
ประเด็น วิกฤตวัด และ วิกฤตคำสอน
ที่บ้านคุณทักษพล – คุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑
(ภาพขณะสนทนา)
(ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาพิเศษในครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่ต่อไป)
--------------------------------------------
~ ชาวบ้านอยู่บ้าน แต่พระภิกษุอยู่ที่ใด ที่นั่นก็เป็นวิหาร (ที่อยู่) เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ ว่า พระภิกษุท่านสละชีวิตเพื่อที่จะศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะอยู่อย่างผาสุกอย่างเพศบรรพชิตที่มีที่อยู่พอสมควร มีจีวรเครื่องนุ่งห่ม มีรักษาโรค มีอาหาร และเป็นผู้ทำประโยชน์ให้กับชาวโลก เพราะฉะนั้น ชาวโลกเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ก็ถวายการอุปการะทุกอย่างเพื่อที่จะได้ฟังธรรมจากท่าน เพราะพระภิกษุอยู่เพื่อที่จะศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมแล้วก็อนุเคราะห์คฤหัสถ์ด้วยการกล่าวธรรมให้เข้าใจ
~ การบวช (เว้นจากความติดข้อง สละความเป็นคฤหัสถ์ทุกอย่าง) บวชเพื่ออะไร ไม่ใช่บวชเพื่อสร้างวัด ต้องตรงและจริงใจอย่างมั่นคง การที่สละเพศคฤหัสถ์ หมายความว่า ไม่กระทำกิจใดๆ ของคฤหัสถ์อีกต่อไป ธุระหน้าที่ของท่าน ก็คือศึกษาธรรม เพื่อให้คนได้เกิดความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง เพื่อขัดเกลากิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) เพราะว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จะขัดเกลากิเลสได้
~ เมื่อไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจธรรม การเป็นพระภิกษุก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ไปโดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะว่า จุดประสงค์ของการเป็นพระภิกษุเพื่อขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต
~ มีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าจะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตหรือในเพศของคฤหัสถ์ ต้องตรงเพราะเหตุว่า ไม่บวช ก็เป็นพระอริยบุคคลได้ ไม่ใช่บวชเพื่อหลอกลวงหรือไม่จริงใจ เพราะว่าใครเห็นพระภิกษุ ก็ต้องรู้ว่าต่างจากคฤหัสถ์เพราะสละชีวิตของคฤหัสถ์แล้ว
~ คิดว่า บวชต้นไม้ได้ (เอาผ้าเหลืองมาผูกต้นไม้ ป้องกันการตัดต้นไม้) เพราะคิดอย่างนี้ทุกเรื่อง จึงช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา โดยไม่เข้าใจเลยว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยกันรักษาให้ถูกต้อง เพราะถ้าคาดเคลื่อนไปเพียงเท่านี้ ไม่คิดหรือว่าจะคลาดเคลื่อนต่อไปอีกมาก บวชต้นไม้ได้อย่างไร ใช้คำว่าบวชกับต้นไม้ คิดดู เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ไม่ได้มีความเคารพอะไรเลย เป็นการแสดงว่าไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ว่า การบวชสูงส่งแค่ไหน
~ จะรักษาต้นไม้ไม่ให้ถูกตัด ด้วยการบวชต้นไม้ นั่นคือ “มักง่าย” เพราะคิดว่าอะไรก็ง่ายๆ ที่จะรักษาสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่านั่นไม่ใช่การรักษาเลย เพราะว่าถ้าจะลงโทษผู้กระทำผิดให้หนัก (ตามกฎหมาย) ยังจะมีคนที่ไม่กล้าทำ คือ ไม่กล้าตัดต้นไม้ แต่ว่าการไปทำลายพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการคิดว่าต้นไม้ก็บวชได้แล้วใครๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ยิ่งผิด หมายความว่าคนที่บวชแล้ว ใครทำอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ ทั้งหมดก็ค่อยๆ เพิ่มความไม่รู้ เพิ่มความไม่เข้าใจไปเรื่อยๆ
~ ถ้าภิกษุเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมวินัย ไม่มีหรอกที่จะไม่กล่าวพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ผู้ใดที่ประพฤติผิดอย่างนี้ อย่างเช่น การบวชต้นไม้ ก็แสดงว่าไม่รู้จักว่าการบวชคืออะไร และก็เพราะไม่เข้าใจพระธรรมวินัย จึงทำสิ่งที่ผิดอย่างมาก
~ ถ้าวัด มีรูปปั้นต่างๆ เช่น เทวรูป เป็นต้น และมีสิ่งใดต่างๆ มากมาย เพื่อดึงคนเข้าวัด ถ้าคิดอย่างนี้ วัดก็ไม่ใช่ที่ที่ดำรงคำสอนของพระพุทธศาสนา แต่กลับเป็นที่ที่ทำลายคำสอนทั้งหมดเพราะหวังเงิน ทั้งหมดที่ทำในสิ่งต่างๆ เหล่านี้เพื่อหวังเงิน แต่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อการสละ และเป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ใครจะใช้เงินไปสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งกำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็นคุณของพระธรรมจริงๆ ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ก็หลอกลวงให้เข้าใจผิด
~ ข้อสำคัญที่สุด ก็คือ พระธรรมวินัยที่ชาวพุทธต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมวินัย จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการกระทำใดๆ ทั้งหมด เงินทองทั้งหมด (ที่เสียไป) ที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เพราะว่าสิ่งที่เงินทองซื้อไม่ได้ ก็ต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลนั่นเอง
~ ต้องเห็นคุณค่าว่า สิ่งที่เหนือกว่าทรัพย์สินเงินทองใดๆ ทั้งสิ้น ก็คือ ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่ถ้าใครไม่ให้ความจริงอะไรเลย กลับทำทุกอย่างเพื่อเงินเพราะฉะนั้น ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีเพื่อให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) เพื่อให้สร้างพระพุทธรูปหรือว่าให้สร้างวิหาร แต่ว่า เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจพระธรรมเพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่ไม่ได้ทำให้เข้าใจพระธรรมวินัยเลย ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพุทธบริษัทเข้าใจพระธรรมคำสอน นั่นคือ พุทธประสงค์อย่างเดียวที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ แล้วคนอื่นจะได้เข้าใจด้วย
~ วิกฤต (ความเสื่อมอย่างหนัก) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คนมองไม่เห็น คือ การไม่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุให้มีความวิกฤตจากการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
~ เรื่องที่มีชาวบ้านขับไล่พระภิกษุในกรณีเรื่องเงินทอง นั้น ก็ชาวบ้านไม่ใช่หรือที่ให้เงินทองแก่พระภิกษุ เห็นไหม นี่คือ การไม่ได้เข้าใจความละเอียดอย่างยิ่งและความถูกต้องของพระธรรมวินัย ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่มีทางที่จะทำให้ดำรงพระพุทธศาสนาไว้ได้
~ ต้องการให้วัดเป็นศูนย์กลางของอะไร? ไม่ใช่พูดง่ายๆ ว่าต้องการให้เป็นศูนย์กลาง ถ้าต้องการให้เป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยว วัดไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าวัดเป็นศูนย์กลางของความรู้คุณความดีทั้งหมด ไม่ใช่ว่าต้องการให้เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ต้องรู้ว่าที่อื่นก็มีตั้งเยอะแยะแล้ว อย่างเช่น ศูนย์กลางของการค้าขาย ก็มีอีกที่หนึ่ง เป็นต้น ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรในวัดก็ได้ แต่สำหรับวัดต้องเป็นศูนย์กลางของความเข้าใจถูกต้องในพระธรรมวินัย ถ้าใครรู้จักวัด ก็สามารถที่จะเข้าวัดด้วยความสงบเรียบร้อย ด้วยความต้องการเข้าใจธรรม เพราะรู้ว่าเป็นแหล่งที่สามารถจะให้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้ เพราะวัดเป็นที่อยู่ของผู้สงบ จะไปทำให้เกิดความไม่สงบ ไม่ได้ แม้แต่จะให้วัดเป็นศูนย์กลางของประเพณี ก็ต้องเป็นประเพณีของการฟังธรรม ต้องให้ตรงตามจุดประสงค์ของวัด จะเปลี่ยนจุดประสงค์ของวัดให้เป็นอย่างอื่น ไม่ได้
~ ถ้าใครจะมาที่วัด ก็มาได้ แต่มาได้ความสงบ ด้วยความเรียบร้อย มาด้วยการที่ว่า วัดเป็นที่สงบ เป็นที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้องได้ แต่ไม่ใช่ว่ามาเพราะว่า สนุก มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีเครื่องบันเทิง มีตลาดนัดมีอะไรต่างๆ (ที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย) เขาเลยจะเข้าใจผิดว่านี่หรือคือวัดในพระพุทธศาสนา?
~ พระคุณเจ้าทั้งหลาย ท่านบวชเพื่ออะไร? ทั้งชีวิตของท่านเพื่อประโยชน์ในการที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตและก็ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่คนอื่นด้วย
~ ต้องไม่ลืมว่าการที่จะสืบทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่รู้เฉพาะตน ถ้าคนเดียวก็ไม่แพร่หลาย การที่จะเผยแพร่ธรรม ก่อนอื่นคนนั้นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วก็คิดธรรมเอง ซึ่งพระธรรมลึกซึ้งมาก ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็จะทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะเข้าใจถูกต้องก็เผยแพร่ความเห็นผิด
~ ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เช่น มารดาบิดา เป็นต้น ไม่ยากเลย ทุกวัน เป็นคนดี ไม่ต้องลำบากเดือดร้อนเลย
~ ถ้าตามพระธรรมวินัยจริงๆ วัด หายาก น้อยมาก หรือแม้แต่กระทั่งที่กล่าวว่า วัดจริงๆ มีน้อยมาก แล้วความเข้าใจพระธรรมวินัย ยิ่งน้อยมาก เพราะถึงแม้ว่าจะยังคงมีวัดที่เป็นวัดจริงๆ แต่ถ้ากล่าวถึงพระธรรมวินัยที่จะมีผู้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก็น้อยกว่า
~ วัดคือที่อยู่ของผู้ที่สงบ ผู้เข้าใจพระธรรมและขัดเกลากิเลสตามสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ที่สำคัญที่สุด คือ คนที่ไม่เข้าใจธรรมจะไม่เห็นโทษภัยแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งจะนำไปสู่โทษภัยใหญ่ เพราะฉะนั้น จะห้ามเรื่องใหญ่ แต่ไม่คิด ว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละนำไปซึ่งเรื่องใหญ่ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่าตราบใดที่ยังมีกิเลส ไม่เข้าใจความจริง ก็จะทำให้ยังคงมีกิเลสต่อไป ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่ากิเลสเพียงเล็กน้อยก็จะนำมาสู่กิเลสอย่างใหญ่
~ การเข้าใจธรรม ดีกว่า อยากบวชแต่ไม่เข้าใจธรรมหรือเปล่า? เพราะว่าการบวชโดยไม่เข้าใจธรรมไม่มีประโยชน์เลย ไม่ใช่การดำรงพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องเท่านั้น เพราะฉะนั้น พุทธบริษัททั้ง ๔ ในครั้งนั้น (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา) ในครั้งนี้ก็มีเพียง ๓ (ภิกษุ อุบาสกและอุบาสิกา) ก็เป็นผู้ที่จะดำรงพระพุทธศาสนาเมื่อเข้าใจ ไม่ว่าในเพศใดทั้งสิ้น
~ พระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่อยู่ที่ความเข้าใจธรรม
~ ผู้ใดจะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่โดยแค่ได้ยินได้ฟังว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติที่ไหน ทรงตรัสรู้เมื่อไหร่ แต่ต้องได้ฟังคำของพระองค์ และผู้นั้นเห็นความลึกซึ้งของธรรมจึงรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ควรจะตระหนักถึงความละเอียดความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ว่า กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสคำให้เราได้ฟังแต่ละคำ จากการทรงตรัสรู้ซึ่งต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก เพื่อเรา จะได้ฟังแต่ละคำ
~ ถ้าเข้าใจผิด ไม่รู้ความจริง ไม่มีทางที่จะละคลายกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้กระทำชั่ว ได้เลย, ความชั่ว ทุจริตทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะลดน้อยลงไปได้หรือดับหมดไปได้ ถ้าไม่ได้เข้าใจความจริงว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ
~ หลงผิดไปในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเลย เช่นไปสำนักปฏิบัติ หรือ ก่อนตายฟังสวดโพชฌงค์หรืออะไรก็ตามแต่ หรือคิดว่าจะเป็นพระโสดาบันหรือจะได้ไปสู่สุคติภูมิ ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีความถูกต้องในเหตุผลเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ก็ทำลายตัวเองไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ชาตินี้ยังไม่สามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรองให้รู้ว่าความจริงคืออะไร ห่างไกลจากความจริงออกไปทุกขณะ เพราะฉะนั้น ชาติต่อๆ ไปก็เหมือนพวกเดียรถีย์ปริพาชก แม้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ทรงแสดงธรรม ก็ไม่ไปเฝ้า ไม่ฟังธรรม เพราะฉะนั้น อีกนานเท่าไหร่ ประมาณไม่ได้เลย ก็จะต้องเกิดตายๆ ไม่มีหนทางออกจากสังสารวัฏฏ์
~ ภัยใหญ่หลวงมาจากการบิดเบือนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นโทษภัยสำหรับตนเองแล้วยังทำให้คนอื่นเข้าใจผิดไป โทษขนาดไหน เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ที่เห็นผิด คนเดียว เป็นโทษมากแค่ไหน เพราะเหตุว่าไม่ใช่เป็นโทษสำหรับเขาเท่านั้น แต่ยังเผยแพร่ความเห็นผิดต่อไปด้วย
~ รู้ไหมว่าขณะนี้กำลังวิกฤต ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เห็น ไม่มีการแก้ไข แต่ถ้าฟังแล้วพิจารณาว่า สิ่งใดที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ทั้งหมดทั้งสิ้น สมควรไหมที่จะเริ่มทำให้ถูกต้อง ต่างคนต่างคิดนี้แน่นอน ใครก็คิดว่าตัวเองถูก แต่พระธรรมวินัยมีไว้สำหรับให้เข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมและส่วนตัวที่จะเข้าใจถูกต้อง ก็ร่วมกันพิจารณาธรรม พุทธบริษัทต้องพร้อมเพรียงกันที่จะรักษาพระธรรมวินัย โดยสิ่งใดถูก ก็ต้องถูก สิ่งใดผิด ก็ต้องละทิ้ง
~ วิกฤตต่างๆ เกิดจากใคร? ก็ต้องเกิดจากพระภิกษุและคฤหัสถ์ที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัย
~ เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท ซึ่งเคารพสูงสุดในพระรัตนตรัย ที่จะต้องช่วยกันทำทุกทางที่จะดำรงรักษาพระธรรมวินัย ไม่ใช่ไปมอบให้ผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งไม่เข้าใจธรรม อย่างพระภิกษุเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัทเมื่อเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมและประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ก็คือ ไม่ใช่หัวหน้าของพุทธบริษัทที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจธรรม
~ โรค (คือกิเลส) มาก ยาก็หายาก แต่ก็มี สำคัญที่สุด ก็คือ ไม่มียาอย่างอื่นนอกจากพระธรรมวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว
~ พุทธบริษัท หมายความว่าอะไร ก็ต้องหมายความถึงบริษัท (กลุ่มชน) ที่ได้ฟังพระธรรมและมีศรัทธามั่นคงที่จะดำรงรักษาพระธรรม ทั้ง ๔ บริษัทในครั้งอดีต และในปัจจุบันนี้ ก็คือว่าไม่ใช่ภิกษุเท่านั้น แต่ต้อง อุบาสกอุบาสิกา ด้วย (ที่จะช่วยกันดำรงรักษาพระพุทธศาสนา)
~ จะรักษาพระพุทธศาสนาให้ดำรงต่อไป ก็ต้องรักษาพระธรรมวินัยให้ดำรงต่อไป ด้วยการไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แก้ไข (แก้ไข ไม่ได้) เพราะเหตุว่า ผู้ที่ทรงบัญญัติ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...