เมินพระธรรมวินัย วิกฤตไทยในพระพุทธศาสนา
เลิกให้เงินพระเพราะเกิดปัญหาทุจริตและผิดพระวินัย
พระภิกษุและคฤหัสถ์เชิดชูเงินทอง เชิดชูยอดบริจาคด้วยเงิน นี่หรือพระภิกษุบวชเพื่อสละ ไม่ได้เชิดชูพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ปัญหาและวิกฤตพระพุทธศาสนา ปัญหาพระทุจริตต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเพราะไม่ศึกษาพระธรรม พระและคฤหัสถ์เชิดชูสิ่งที่ผิด
ปัจจุบันเกิดวิกฤตพระพุทธศาสนาเพราะเหตุว่าคฤหัสถ์และบรรพชิตไม่ศึกษาพระธรรมวินัย พระภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่ละอาย) สอนตรงข้ามกับพระธรรม มีการให้คฤหัสถ์ทำบุญด้วยเงินจะได้บุญมากๆ คฤหัสถ์ไม่รู้ โลภบุญ ก็ทำตาม พระภิกษุอลัชชีรับเงินต้องอาบัติก็ไม่สนใจ สะสมทรัพย์มากเข้า จนเกิดการทุจริตเกิดขึ้นในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เงินและทองไม่สมควรกับพระภิกษุไม่ว่าในกรณีใดๆ เลย เพราะนำมาซึ่งการเพิ่มกิเลส แต่ คฤหัสถ์และบรรพชิพผู้ไม่ศึกษา อ้างตามความคิดของตนเอง ไม่ใช่ตามพระปัญญาคุณ อ้างว่ารับเงินได้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป และทำผิดกันมานาน เช่น แข่งกันได้เงินถวายวัด ยอดกฐินยิ่งจำนวนมาก ยิ่งสำคัญผิดว่าได้บุญมาก ให้เงินพระภิกษุ ง่ายดี ใครเขาก็ทำกัน ให้เงินพระในงานศพ แทนที่จะถวายของที่เหมาะสมกับพระ ไม่ทำให้ท่านต้องอาบัติ เพราะ พระรับและยินดีในเงินและทองต้องอาบัติ
ชาวพุทธตระหนักกันบ้างหรือยังในขณะนี้ ที่เกิดปัญหามากมาย กับพระพุทธศาสนา เพราะ มุ่งแต่จะอยากได้บุญโดยไม่สนว่าคำพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ถวายเงินพระ ทำลายท่าน ตัวเองก็ไม่ได้บุญ สุดท้ายก็เกิดปัญหาอย่างร้ายแรง วิกฤตพระพุทธศาสนา แต่ไม่มีคำว่าสายที่จะเริ่มใหม่ ที่จะไม่ถวายเงินพระ แต่ถวายสิ่งของที่เหมาะสม เริ่มตั้งแต่วันนี้ นี่แหละ คือ พุทธบริษัทที่ดอย่างแท้จริง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนายคามณีทองและเงินควรแก่ผู้ใด เบญจกามคุณก็ควรแก่ผู้นั้น เบญจกามคุณควรแก่ผู้ใด ทองและเงินก็ควรแก่ผู้นั้น ดูก่อนนายคามณีท่านพึงทรงจำความที่ควรแก่เบญจกามคุณนั้นโดยส่วนเดียวว่า ไม่ใช่ธรรมของสมณะ ไม่ใช่ธรรมของศากยบุตร อนึ่งเล่า เรากล่าวอย่างนี้ว่า ผู้ต้องการหญ้าพึงแสวงหาหญ้า ผู้ต้องการไม้พึงแสวงหาไม้ ผู้ต้องการเกวียนพึงแสวงหาเกวียนผู้ต้องการบุรุษพึงแสวงหาบุรุษ เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดีพึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายอะไรเลย. (มณิจูฬกสูตร)
ศาสนาจะรุ่งเรือง ไม่ใช่อยู่ที่จำนวนของพระภิกษุที่มีมาก ที่เป็นพระทุศีล รับเงินทอง ไม่ปฏิบัติตามพระวินัย แต่ตรงกันข้าม ยิ่งมีพระทุศีลไม่ดีมากเท่าใด ก็แสดงถึงความเสื่อมไปของพระพุทธศาสนา แต่ แม้มีพระน้อย แต่พระเล่านั้นประพฤติธรรม ตามพระวินัย เผยแพร่พระธรรมที่ถูก ไม่รับเงินทอง ไม่มุ่งสร้างวัดวาอาราม ไม่เรี่ยไรเงินคฤหัสถ์ โดยใช้ผ้าป่า กฐิน เป็นเหยื่อล่อ ด้วยคำว่า จะได้บุญมาก หากได้ยอดกฐินมาก เป็นต้น เมื่อมีพระภิกษุดีเหล่านี้ นั่นคือ ความเจริญในพระพุทธศาสนาเพราะมีพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
เกณฑ์ให้คนมาบวช มีพระเยอะๆ อ้างเป็นธรรมทายาท จะเป็นได้อย่างไร เมื่อคนที่ชวนบวชก็รับเงินทอง เป็นพระทุศีล ผู้ที่บวชก็ไม่ประพฤติตามพระวินัย รับเงินทองเช่นกัน ก็ไม่ใช่เป็นธรรมทายาท เพราะไม่ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แต่เป็นอามิสทายาท คือ หวังลาภ สักการะ ยศตำแหน่ง ลาภผล เงินทอง เป็นต้น
ถ้าจะกล่าวว่ามีขบวนการล้มล้างพระพุทธศาสนา พุทธบริษัท นี้เองที่ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม กล่าวคำแย้งพระพุทธเจ้า ไม่ประพฤติตามธรรม มี พระภิกษุรับเงินทอง พระภิกษุสอนอ้างพุทธวจนะแต่อธิบายทำลายพุทธวจนะ และ สร้างสำนักปฏิบัติ อันเป็นหนทางผิด เหล่านี้ทั้งพระภิกษุและฆราวาสที่ผู้ทำเองและชักชวนผู้อื่น ส่งเสริม ก็ชื่อเป็นขบวนการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะ พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง หรือ เสื่อมไป อยู่ที่ใจของพุทธบริษัทของแต่ละคนว่าเข้าใจถูกหรือผิดในพระพุทธศาสนา