ทุจริตทั้งหมดของประเทศและของโลก ก็เพราะขาดปัญญา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันศุกร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๑
~ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ทั้งหมด เพื่อเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ก็เสียเวลา
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
~ นานแสนนานที่ไม่รู้มาแล้ว จนกว่านานแสนนานกว่าที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ ทุกขณะของชีวิตที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม มีค่าที่สุด
~ หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) ไม่ใช่กรอบวิธีการ แต่เพื่อความเข้าใจความจริงถึงที่สุดจนกว่าจะหมดความเป็นเรา
~ ทุกคำที่จริง มาจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ความเข้าใจนั่นแหละ จะทำให้ละความไม่รู้และความติดข้อง
~ ถ้าเราไม่ได้ฟังคำจริง จะไม่มีทางเข้าใจความจริง
~ ไม่มีเรา มีแต่ธรรม สิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมด ไม่ใช่ให้ใครไปทำอะไร แต่ว่าปัญญา เป็นความเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เรา ปัญญา ถือเอาแต่สิ่งที่ควร ละทิ้งสิ่งที่ไม่ควร
~ เห็นผิดเกิดเมื่อไหร่ จะมาทำหน้าที่เห็นถูกไม่ได้ ก็ต้องเห็นผิด ตามกิจหน้าที่ของธรรมนั้นๆ
~ ต้องเป็นผู้ตรง ไม่มีการที่จะต้องไปเกรงใจอกุศล เพราะเหตุว่า ถูกคือถูก ผิดคือผิด
~ ฟังเรื่องร้ายๆ ก็สงสาร (เห็นใจ ประสงค์ที่จะให้เขาพ้นจากความทุกข์เดือดร้อนนั้น) แล้ว มีแต่กรรมและผลของกรรมที่ปรากฏ วันหนึ่งๆ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น นั่นคือ ผลของกรรมที่ได้ทำแล้วในอดีต อย่างเช่น ถูกทรมาน ถูกเบียดเบียนประทุษร้าย เป็นต้น ถ้าเขาไม่ทำกรรมมา จะได้รับผลของกรรมอย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้น สัตว์โลก ก็เป็นที่ดูกรรมและผลของกรรม แม้แต่ผู้ที่ทำกรรม ก็จะเป็นเหมือนอย่างบุคคลที่กำลังได้รับผลของกรรมนั่นแหละ
~ ตอบแทนพระคุณบิดามารดา คือ เป็นคนดี ทำดี (ไม่ใช่ไปบวชโดยไม่รู้อะไร)
~ ไม่ควรดีใจไปกับความไม่รู้
~ ประเพณีที่ไม่ดี ใครจะรักษาไว้?
~ ชาวพุทธต้องเป็นผู้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงชื่อ แต่ต้องรู้พระคุณ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีพระคุณ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ ใครก็ตามจะมีความดีมากสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ถึงคุณที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้
~ เมตตา หมายถึง ความเป็นมิตร ความหวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล ไม่มีการที่จะแข่งดี ไม่มีการทำร้ายด้วยกาย วาจา พร้อมที่จะทำประโยชน์กับผู้นั้น นั่นคือมิตร หวังดี ไม่ได้ให้เขาเป็นทุกข์เดือดร้อน ไม่ได้ให้คำไม่จริงกับเขา
~ แม้จะเป็นเศรษฐีมั่งมีมหาศาล มีตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์มากมาย สักเท่าไหร่ ก็ตาม แต่เขาก็ไม่พ้นจากทุกข์
~ คิดไหมว่า ตลอดชีวิตในสังสารวัฏฏ์ ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระมหากรุณา ให้คนฟังได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสมบัติที่เงินทองทรัพย์สมบัติมหาศาล ก็ซื้อไม่ได้ นอกจากฟังคำที่มีค่า เห็นค่าของคำนั้น ไตร่ตรอง เข้าใจแล้วเป็นผู้ที่ตรง สิ่งใดถูกก็คือถูก สิ่งใดผิดก็คือผิด ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ จะมีความหวังดีต่อคนอื่นไหม ที่จะให้เขาได้เข้าใจถูกด้วย ไม่เข้าใจผิดอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ คือ ผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ประมาท ว่า แต่ละคำไม่ใช่ง่าย แต่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ค่อยๆ ฟังไป ค่อยๆ เข้าใจไป
~ เคยเป็นเรามานานแสนนาน แต่พอได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เข้าใจถูกต้องว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งใครๆ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับก็ไม่ได้ ปัญญาอย่างนี้จะมีได้อย่างไรด้วยตนเอง ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่าเป็นชาวพุทธ นั้น ก็ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยความเข้าใจจริงๆ รอบรู้ในคำที่ได้ฟัง เพราะถ้ารอบรู้ในคำที่ได้ฟังแล้วจะไม่มีทางผิด
~ พระพุทธศาสนา อันตรธาน (สูญสิ้น) แน่ ถ้าไม่มีใครเข้าใจ แต่ตราบใดที่ยังมีผู้เข้าใจ ช่วยกันดำรงรักษา พระพุทธศาสนาก็ดำรงอยู่
~ ปัญญา ถือเอาในสิ่งที่ควร ทิ้งสิ่งที่ไม่ควร เพราะฉะนั้น ทุจริต (ความประพฤติชั่ว) ทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่ผู้ไม่มีปัญญา ทำ เพราะไม่รู้ ถ้าปัญญา มี เกิดขึ้น จะไม่ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรเลย ไม่ว่าจะเป็นใคร
~ ทุจริตทั้งหมดของประเทศ และของโลก ก็เพราะขาดปัญญา ซึ่งมาจากเพราะไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม
~ ต้องรู้จริงๆ ในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยเกิดในสังสารวัฏฏ์คือปัญญา แล้วค่อยๆ เจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะละลายอกุศลจนดับเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นอย่างเด็ดขาด) ได้
~ ชาวพุทธจริงๆ คือ ผู้ที่ได้เข้าใจธรรม
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่สัตว์โลก ให้รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพื่อจะได้ไม่ทำสิ่งที่ผิด เพราะว่า สิ่งที่ผิด เป็นโทษแก่ผู้กระทำ
~ ทุจริตทั้งหลาย มาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะอาศัยความไม่รู้ แก้ความไม่รู้ จะสำเร็จหรือ? เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
~ กล้าทำสิ่งที่ถูก ใครจะว่า ใครจะติเตียน แต่ถ้ากล้าทำสิ่งที่ผิด ทุกคนก็ติเตียน
~ ภิกษุ คือ ผู้สงบ ผู้เห็นภัยของกิเลสและผู้ขัดเกลากิเลส จะออกมาถือป้ายประท้วงได้อย่างไร ที่มีการกระทำอย่างนั้น ก็แสดงถึงความไม่สงบซึ่งไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
~ ให้เขาเข้าใจธรรมดีกว่าบวช (โดยไม่เข้าใจอะไรเลย) หรือไม่? เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่เข้าใจธรรมควรบวช หรือไม่? เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปให้เขาบวช แต่ให้เขาเข้าใจธรรมก่อน ถ้าเขาอยากบวช ก็ถามเขาว่าเขาเข้าใจธรรมหรือเปล่าถ้าไม่เข้าใจธรรมก็อย่าบวช เพราะบวช คือ การอุทิศชีวิตตนเพื่อที่จะศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์
~ จะขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ ก็ได้ แต่บวช คือ สละเพศคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจคำว่าสละ คือ ไม่เหลือเยื่อใยใดๆ เลยทั้งสิ้น นั่นคือ บวช
~ อาณาจักร (ทางบ้านเมือง) แทนที่จะเอาเงินมาเกี่ยวกับพระภิกษุซึ่งไม่รับเงินทอง อาณาจักรก็ใช้เงินบำรุงประเทศไป ส่วนพุทธบริษัทก็สามารถที่จะดำรงพระพุทธศาสนาได้โดยการศึกษาให้เข้าใจถูกต้อง ไม่บำรุงโจร (คือ ไม่ส่งเสริม ไม่ทะนุบำรุงภิกษุอลัชชีผู้ไม่มีความละอาย)
~ ได้รู้ว่า ไม่ควรใส่เงินให้พระภิกษุ ดีกว่าไม่รู้แล้วก็ใส่เงินให้พระภิกษุต่อไป
~ คนที่ติสิ่งที่ถูก เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะรู้ว่าอะไรจริง ก็ต้องตามพระธรรมวินัย เมื่อพูดตามพระธรรมวินัย พิจารณาว่าไม่มีอะไรที่จะถูก นอกจากพระธรรมวินัย เพราะว่า ถ้าคิดเอง ก็ผิด เพราะฉะนั้น ถ้าติพระธรรมวินัย ก็เพราะไม่รู้
~ ถ้าไม่รู้ ก็ต้องเข้าใจผิด ว่า ชั่วเป็นดี หรือว่า ดีเป็นชั่ว เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ ก็คือรู้ว่า ชั่วก็ต้องเป็นชั่ว ดีก็ต้องเป็นดี ถูกก็ต้องเป็นถูก ผิดก็ต้องเป็นผิด
~ เหตุ (การกระทำดี และ ชั่ว) อยู่ที่ตัวเรา แล้วจะไปอาศัยผลให้เกิดกับเราจากการกระทำของคนอื่นได้อย่างไร เหตุอยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้น ผลก็อยู่ที่ตัวเรา เพราะเหตุอยู่ตรงนี้
~ ทุจริตทั้งหมด ไม่ว่าใคร ขณะนั้น ไม่มีปัญญา.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...