เมื่อไม่รู้จึงเป็นเรา เป็นของเรา
-โลภะไม่เคยละเว้นอะไรเลยนอกจากโลกุตรธรรม
-โลภะ/ราคะ คือ ความติดข้อง ยินดีพอใจ ขณะโลภะเกิดก็ปิดกั้นคุณความดีไม่ให้เป็นไป
-ผู้ไม่รู้ ติดข้องทั้งวัน แต่ไม่รู้เลย โลภะพาไปทุกแห่ง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ สัตว์โลกไม่มีวันรู้ความจริงในสิ่งที่ถูกปกปิดไว้สนิทแน่น คือ เห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้
-ความเข้าใจละความติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงติดข้อง
-ธรรมะในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง เข้าใจได้โดยยาก ขณะนี้เป็นธรรมะ กำลังมี แต่ไม่รู้ แล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกก็ไม่รู้
-ธรรมะแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกเลย เมื่อไม่รู้จึงเป็นเรา เป็นของเรา ยึดถือสภาพธรรมะอย่างเหนียวแน่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
-ฟังธรรมเพื่อให้รู้ให้เข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นธรรมะ ค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ธรรมะเกิดแล้วดับ ค่อยๆ รู้ความจริงจากคำของผู้ทรงประจักษ์แจ้งโดยประการทั้งปวง
-ธรรมะ จากไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ มีเราที่ไหน?? อวิชชาความไม่รู้ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจความจริง
-มรดกที่ล้ำค่าประเสริฐสุดของชาวพุทธ คือ พระธรรมซึ่งยากและลึกซึ้งอย่างยิ่ง
-การฟังพระธรรมเป็นความดี เพราะทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วด้วยพระปัญญาคุณ ทุกคำมีค่า ประมาทไม่ได้ กว่าจะเข้าใจจริงๆ มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ต้องฟังด้วยความเคารพ ไตร่ตรองจนมีความเข้าใจถูก เป็นปัญญาของตนเอง มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับมรดกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือความเข้าใจพระธรรมจริงๆ จึงจะเห็นพระองค์ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจคำจริงแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง
กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ธรรมะแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกเลย เมื่อไม่รู้จึงเป็นเรา เป็นของเรา ยึดถือสภาพธรรมะอย่างเหนียวแน่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
...อนุโมทนาในกุศลวิริยะค่ะ...