พระธรรม เริ่มถูกเปิดเผยที่จังหวัดพิจิตร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันพฤหัสบดีที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร โดยการนำของนายแพทย์วิวัฒน์ คำเพ็ญ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ได้เรียนเชิญอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อสนทนาธรรมกับข้าราชการและบุคลากรของสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร จำนวน ๓๐๐ คน ที่โรงแรมมีพรสวรรค์ จ. พิจิตร เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐น. โดยมีนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และร่วมฟังจนจบการสนทนา นับเป็นครั้งแรกของจังหวัดพิจิตรเลยทีเดียวที่มีการจัดให้มีกิจกรรมที่เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดียิ่งที่จะได้ฟังคำจริง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่าที่จะเป็นไปได้ และเป็นโอกาสดีที่สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ในจังหวัดใกล้เคียง คือ นครสรรค์ และพิษณุโลก หลายท่านได้เข้าร่วมกิจกรรมดีๆ ในครั้งนี้ด้วย บางครอบครัวมีบุตรธิดาทำงานในสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ก็มีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมดีๆ ในครั้งนี้ด้วย ทำให้เห็นเลยว่า พระธรรม ยิ่งเปิดเผย ยิ่งรุ่งเรือง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกสำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์เห็นคุณค่าอย่างแท้จริง ที่จังหวัดพิจิตร ก็ได้เริ่มต้นแล้ว พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงได้ถูกเปิดเผยแล้ว ตลอด ๓ ชั่วโมงเต็ม ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กล่าวธรรม สนทนาธรรม เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้ได้ฟังสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล พิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นที่พึ่งต่อไป
ช่วงต่อจากนี้ไปเป็นช่วงประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ขอให้ค่อยๆ อ่านไปทีละท่อนๆ พิจารณาไตร่ตรองในความจริง ดังนี้
~ เวลาก็มีไม่มาก แต่ว่าเรื่องที่จะสนทนาเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เพียงเราได้ยินคำว่า ธรรม เราคิดว่าเราเข้าใจ แต่ว่าตามความเป็นจริง ผู้ที่ตรัสคำนี้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) จนกระทั่งได้ตรัสรู้สามารถที่จะดับกิเลสได้หมดสิ้นไม่มีใครเปรียบได้เลยในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่อประโยชน์สำหรับคนที่ในสังสารวัฏฏ์ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย
~ ไม่ว่าวันไหนเดือนไหนปีไหนก็มีสิ่งที่ปรากฏ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่ปรากฏทุกวัน พระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ธรรมดาทุกวันที่เห็นได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้น ชีวิตก็ดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจิต ถ้าขาดขณะหนึ่งขณะใดชีวิตก็ดำรงอยู่ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้สิ่งอื่น แต่ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย
~ แต่ละคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผู้ที่ได้ฟังเมื่อได้ฟังแล้วก็จะรู้ว่า สิ่งที่ได้ฟังไม่เหมือนที่เคยฟังจากคนอื่นมาก่อนเลย เช่นคำว่า ธรรม คำนี้ทุกคนเหมือนจะไม่สนใจเพราะได้ยินบ่อยๆ แต่ถ้าถามว่า ธรรมคืออะไร คำตอบของแต่ละคนที่ไม่เคยฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน ตอบไม่ถูกแน่นอน
~ สามารถเข้าใจธรรมได้ในภาษาของตนๆ เช่น คำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริง, สิ่งที่มีจริง มีจริงทุกกาลสมัย ไม่เปลี่ยนเลย แม้ในขณะนี้ ก็มี เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าขณะนี้มีธรรมไหม จากการที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ถ้าไม่มีความจริงจะตรัสรู้อะไร สิ่งที่ทรงตรัสรู้แน่นอน ต้องมี และมีจริงๆ ด้วย เช่น เห็น มีจริง เป็นธรรม เป็นต้น
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ล้าสมัย ประโยชน์ที่พระองค์ทรงมอบให้กับพุทธบริษัทก็คือ ความเข้าใจซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย จะให้อะไรใคร สมบัตินั้นสิ้นไปไม่ว่าจะเป็นเพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้าอาหาร เป็นต้น ไม่ได้ดำรงอยู่เลย ต้องหมดสิ้นไปแน่ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้คนซึ่งเข้าใจแล้ว (ความเข้าใจ) ไม่หมด เพราะเหตุว่า สะสมสืบต่อไปจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ จึงแสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
~ ชาวพุทธควรที่จะได้เข้าใจว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงเหตุและผลเพราะเหตุว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าสิ่งนั้นต้องมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น อาศัยกันและกัน เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย, สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีก
~ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่ประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้วมีโอกาสที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่ฟังคำของพระองค์ แต่ว่าพระองค์ทรงแสดงธรรมให้เป็นความเข้าใจของผู้ฟัง เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ เพราะเหตุว่า ความเข้าใจอย่างเดี๋ยวนี้ เงินทองซื้อไม่ได้ จะเอาเงินทองสักเท่าไหร่ไปซื้อ ก็ซื้อความรู้ความเข้าใจ เป็นไปไม่ได้เลย แต่ต้องอาศัยการฟังและการไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น ถ้ามีการได้ยินได้ฟังธรรมและเข้าใจ เห็นประโยชน์ ความเข้าใจก็จะสะสมสืบต่อไป
~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือสิ่งที่เกิดแล้วไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรม และสิ่งที่เกิดแล้วเป็นสภาพรู้ คือ นามธรรม
~ ที่กล่าวว่าเป็นคน ก็เพราะมีสภาพรู้ คิอ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) และ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และมีสภาพที่ไม่รู้อะไร คือ รูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ด้วย ทั้งหมด เป็นธรรม
~ หาธรรมเจอหรือยัง? ทุกหนทุกแห่ง อะไรที่มีจริง สิ่งนั้นเป็นธรรมทั้งหมด ต่างกันเป็นรูปธรรมและนามธรรม
~ จะหวั่นไหวไหม ถ้าเป็นสิ่งที่ดีที่ได้กระทำแล้ว เพราะเหตุว่าต้องนำผลที่ดีมาให้ ถ้าไม่ชอบสิ่งที่ไม่ดี ก็จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะรู้ว่า สิ่งที่ไม่ดีเท่านั้นที่จะนำผลที่ไม่ดีมาให้
~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หลงว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย (เพราะแท้ที่จริงแล้วมีแต่ธรรมเท่านั้น)
~ จะเป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว ก่อนเป็นคนนี้เป็นใครมาจากไหน (ไม่สามารถรู้ได้) และจากโลกนี้ไปแล้ว หมายความว่าสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ก็จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย
~ ค่อยๆ เผาความไม่รู้ให้ค่อยๆ หมดไป ด้วยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอานุภาพของพระธรรมที่ทำให้เกิดความเข้าใจ จากความไม่รู้มานานแสนนานในความมืดสนิท เป็นความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี แม้เพียงรู้ว่าธรรม เป็นอนัตตา นี้ก็เป็นความเข้าใจถูกในเบื้องต้นแล้ว
~ ความชั่วนี้เยอะมาก ความไม่รู้ก็มาก แล้วจะเอาอะไรมาละ ก็ต้องเป็นความรู้และสภาพธรรมที่ดีงาม เท่านั้น ที่จะละได้
~ พอเห็นใครทำไม่ดี ธรรมต่างหากที่สะสมมาที่เป็นอย่างนั้น และเขาจะต้องได้รับผลที่ไม่ดีด้วย จะเมตตาไหม จะเห็นใจไหม จะพยายามให้เขาเป็นคนดีไหม? นี่ก็คือแต่ละหนึ่ง ซึ่งความดีความเข้าใจทั้งหมดมาจากความเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมแล้วก็เริ่มเข้าใจ จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และรู้ด้วยว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อเข้าใจคำของพระองค์เท่านั้น ไม่ใช่ไปทำในสิ่งที่เราไม่รู้หรือพูดคำที่เราไม่เข้าใจ
~ การสะสมความรู้ความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ต่อไปก็จะเห็นคุณค่าของพระธรรมมากขึ้น
~ ถ้าผู้ใหญ่ไม่รู้ไม่เข้าใจธรรม ใครจะสอนเด็ก ก็คนไม่รู้สอนเด็ก เพราะฉะนั้น ที่สำคัญ ผู้ใหญ่ต้องรู้ด้วย มุ่งหน้าแต่จะให้เด็กรู้ แต่ผู้ใหญ่ไม่รู้ เด็กก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาทุกปัญหาต้องเข้าใจเหตุ ถ้าไม่เข้าใจเหตุ ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาใดๆ ได้เลย แม้แต่การที่จะให้เด็กรู้ธรรม ถ้าผู้ใหญ่ไม่รู้ ก็จะให้เด็กรู้ไม่ได้
~ ตราบใดที่ไม่ละเอียด และไม่ตรง จะเข้าใจธรรมผิด
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง สิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เข้าใจความจริง ก็คิดไปต่างๆ นานา แต่คนที่สะสมมาที่จะมั่นคงในเหตุและผล ก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุไม่เป็นผล
~ ความจริง เป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วมั่นคงก็จะไม่เปลี่ยนความจริงเพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่า ลบหลู่คืออะไร? คำพูดทุกคำต้องรู้ว่าคืออะไร ลบหลู่ คือ ลบล้างคุณความดีของคนที่มีความดี นั้นคือการลบหลู่ แต่ถ้าสิ่งนั้นผิด จะให้ถูกหรือ? สิ่งผิดก็ต้องผิด ไม่ได้ไปลบหลู่อะไร แต่พูดความจริง, สิ่งที่ผิดแล้วกล่าวว่าถูก คนนั้นไม่ตรง พูดไม่จริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผิดก็ต้องผิด สิ่งที่ถูกก็ต้องถูก, การกล่าวให้รู้ความจริงว่า อะไรเป็นสิ่งผิด ลบหลู่หรือ? ในเมื่อ ผิดก็ต้องผิด
~ ถ้าใครก็ตามมีคุณความดีแล้วเรากล่าวร้ายให้คุณความดีของผู้นั้นหมดไปนั่นคือลบหลู่ แต่สิ่งที่ไม่ถูก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอกุศลธรรมหรือเปล่า? เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ เวลากรรมจะให้ผล ใครช่วยได้
~ สิ่งอื่น คนอื่นยังขโมยไปได้ ลักไปได้ แต่ความเข้าใจที่เข้าใจแล้ว ใครๆ ก็ลักไปไม่ได้ เพราะเป็นสมบัติของคนนั้น คือ เป็นสมบัติของผู้ที่เข้าใจ
~ เราหลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะจากไม่มี แล้วมีแล้วก็หามีไม่ หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น เราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพียงเกิดขึ้นมีปรากฏให้ติดข้องนิดเดียวเล็กน้อยมากแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย โง่หรือฉลาดที่ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี?
~ จะนับถือใคร? จะนับถือคนที่ให้เข้าใจ หรือ คนที่ไม่ให้เข้าใจ เพียงแต่ให้จำชื่อธรรม ให้พูดชื่อธรรมโดยที่ไม่รู้อะไรเลย
~ จริงๆ แล้ว พบเพื่อไม่พบ ถูกต้องไหม? เดี๋ยวก็ไม่พบแล้ว ทุกอย่างเป็นความจริง
~ ไม่ว่าจะเรียนวิชาอะไร ครั้งเดียวไม่พอ เพราะฉะนั้น ธรรมก็เช่นเดียวกัน ฟังครั้งเดียวไม่พอ ต้องฟังแล้วฟังอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถจะเข้าใจได้ ไม่ใช่เข้าใจไม่ได้ แต่ไม่ใช่การท่องการจำชื่อ
~ ตลอด ๔๕ พรรษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมยิ่งกว่าใครในวันหนึ่งๆ ทรงมีพระมหากรุณายิ่งกว่าใคร แล้วเราฟังธรรมวันละกี่ครั้งหรือไม่ได้ฟังเลย? เพียงแค่ได้ฟังก็พอที่จะเข้าใจได้ แล้วก็เข้าใจขึ้น เมื่อเข้าใจแล้วก็จะละความไม่รู้ ละความติดข้องซึ่งเป็นเหตุทำให้จิตไม่ดีและอกุศลธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นกระทำทุจริตกรรมซึ่งเป็นเหตุที่คนอื่นจะไม่ได้รับผลเลย นอกจากผู้กระทำกรรมนั้นนั่นเองที่จะได้รับผล
~ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะทำให้รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรถูก อะไรผิด, ถ้าผิดแล้วยังคิดว่าถูก สมควรไหม? ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ สิ่งที่เป็นความจริง ถูกต้อง ควรที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจหรือไม่ เป็นประโยชน์หรือไม่ เป็นผู้ที่หวังดีหรือไม่
~ มิตร คือ ผู้ที่หวังดี ไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่คนที่หวังร้าย แต่ว่ามีความหวังดีที่จะช่วยเหลือ ทำประโยชน์เกื้อกูลพร้อมที่จะช่วยเหลือ นั่นคือมิตร อย่างเด็กที่ติดอยู่ในถ้ำ ทุกคนมีเมตตาโดยไม่ต้องไปนั่งท่องเลย พฤติกรรมทั้งหลายที่เราเห็น เป็นความหวังดีของแต่ละคนใกล้หรือไกลทั้งหมด, เมตตาจริงๆ กับท่องเมตตาเหมือนกันหรือเปล่า ลองคิดดู มีคนหนึ่งอยากมีเมตตามากเลย อยู่ในห้องมืดๆ มุมหนึ่ง นั่งท่องเมตตาตั้งนาน พอออกมาก็โกรธ แล้วอย่างไร ท่องทำไม? แต่ถ้ามีเมตตา แม้ไม่ต้องเรียกชื่อเลย อย่างชาวบ้านที่ปรุงอาหารให้คนที่เข้าไปช่วยเด็กที่ติดอยู่ในถ้ำ นั่นแหละเมตตาจริงๆ เป็นมิตรจริงๆ หวังดีจริงๆ ทำแล้วด้วย ด้วยใจ ไม่ต้องนั่งท่องเลย
~ เพียงแค่ช่วยคนอื่น ขณะนั้นถ้าไม่เมตตา ก็ช่วยไม่ได้เลย แต่ความเป็นมิตร แม้เป็นคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก เราก็สามารถสงเคราะห์ช่วยเหลือได้ เพราะขณะนั้น ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมซึ่งเป็นโสภณเจตสิก คือ เจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้น เป็นสภาพธรรมที่เป็นอโทสะ คือ ไม่โกรธ ไม่หวังร้าย, ถ้าโกรธ จะช่วยไหม ไม่มีทางเลย แต่ถ้าเมตตาเมื่อไหร่ ก็ทำสิ่งที่ดีเมื่อนั้น.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าท่านอาจารย์
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่นด้วยครับ
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง สิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เข้าใจความจริง ก็คิดไปต่างๆ นานา แต่คนที่สะสมมาที่จะมั่นคงในเหตุและผล ก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุไม่เป็นผล
กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพอย่างสูง
กราบอนุโมทนา...นายแพทย์วิวัฒน์ คำเพ็ญ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ที่ได้เรียนเชิญอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อสนทนาธรรมกับข้าราชการและบุคลากรของสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร จำนวน ๓๐๐ คน ที่โรงแรมมีพรสวรรค์ จ. พิจิตร มาณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ถ้าผู้นำมีการจัดสนทนาธรรมแบบนี้ก็คงจะดีไม่น้อย แต่ผู้นำหรือผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ ก็จะให้ไปนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วก็บอกว่านี่ คือ การปฏิบัติธรรม แต่ไม่เข้าใจหรือรู้อะไรเลยว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร โดยเฉพาะในวงการศึกษานิยมมากให้ไปปฏิบัติธรรมตามวัด หรือสำนักปฏิบัติธรรม ในโรงเรียนจะมีคาบสวดมนต์ ก็จะใช้คาบนี้ สวดมนต์นั่งสมาธิ เป็นส่วนใหญ่ ผมเคยสนทนาธรรมกับนักเรียนโดยใช้คาบสวดมนต์ หนึ่งภาคเรียน ก็มีอันต้องเลิกไป เพราะนโยบายผู้บริหารต้องการให้พระมาดูแลเรื่อง สวดมนต์ มากกว่า ผมเลยกลายเป็นแกะดำไป ผมจึงเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น ว่า มันเป็นอนัตตาจริงๆ ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ไปเข้าร่วมสนทนาธรรมด้วย
ยิ่งอ่านพิจารณาไปทีละคำ ทีละบรรทัด ก็ซาบซึ้งพร้อมๆ กับเกิดโลภะขึ้นว่าอยากไปอยู่ตรงนั้นด้วยจริงๆ ครับ ผู้ใดกล่าวคำจริง คำนั้นคือพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น
กราบอนุโมทนาในกุศลทั้งปวงของผู้มีส่วนร่วมในการจัดงานทุกๆ ท่านครับ
ธรรม เตชะ กรรมและผลของกรรม มีจริง ผู้แสดงธรรมตามจริงย่อมได้รับสรรเสริญจากผู้รู้ธรรมกราบเท้าท่านอาจารย่และอนุโมทนาคุณ คุณคำป้่น.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนา อ.คำปั่น อักษรวิลัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัยและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ประโยชน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบให้แก่พุทธบริษัทคือ ความเข้าใจซึ่งไม่เคยมีมาก่อน คำของพระองค์ไม่หมด เพราะสะสมสืบต่อไปจนกระทั่งสามารถรู้ความจริง ถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้
ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด