วิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ...ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรมที่โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ จ.เชียงใหม่
วันพุธที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
~ เราเกิดมา ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจตั้งแต่เกิด จึงได้มีการเรียนวิชาต่างๆ เพื่อที่จะได้มีความรู้ แต่ว่าวิชาที่สำคัญที่สุดซึ่งทุกคนสมควรอย่างยิ่งที่จะได้เข้าใจก็คือพระพุทธศาสนา พระศาสนาหมายถึงคำสอน พุทธะคือปัญญาที่รู้แจ้งถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) มานานมาก กว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้
~ คำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้มีใครกี่คนที่คิดถึงพระองค์ และถ้าเราเป็นชาวพุทธก็หมายความว่าเรารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น มีพระองค์เป็นที่พึ่ง เพราะว่าทุกคนต้องจากโลกนี้ไป อยู่ได้ไม่นานแล้วแต่ว่าจะจากไปวันไหน มีที่พึ่งอะไรหรือเปล่า?
~ ผู้ที่จะมีโอกาสได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มาก ไม่ใช่ว่าทุกคนทั้งโลก ลองคิดดูว่ามีคนกี่คนที่จะได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินแล้วไม่สนใจก็มาก ได้ยินแล้วเริ่มสนใจแต่ละคำซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง มิฉะนั้น ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงจะไม่ได้ทรงพระนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเพียงพระองค์เดียวที่รู้ความจริงถึงที่สุด แล้วใครรู้คุณค่าอันนี้บ้างเพราะมีผู้ที่ประเสริฐที่สุดที่ตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะทุกชาติ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำของพระองค์ ก็ไม่สามารถที่จะรู้คุณคือปัญญาที่ทรงแสดงความจริงให้คนที่เกิดมาแล้วก็ตายไป เกิดมาแล้วก็หลับแล้วก็ตื่นแล้วก็เห็นแล้วก็ได้ยินแล้วก็จากโลกนี้ไปไม่เข้าใจอะไรเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์
~ โอกาสที่จะได้ยินได้ฟังได้เข้าใจความจริงของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ เพราะเหตุว่าสิ่งอื่นติดตามเราไปไม่ได้เลย ทรัพย์สินเงินทองรูปร่าง ชื่อเสียง เกียรติยศ ทั้งหมด จบสิ้นเมื่อจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่จะติดตามไปคือดีและชั่ว และสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นก็คือความเข้าใจถูก ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม จะไม่มีโอกาสได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
~ เรามีชาติและมีศาสนาด้วย, คนเรา ดีชั่วหลากหลายมาก พฤติกรรมต่างๆ ที่ปรากฏทุกคนก็เห็นว่าทำไมถึงมีการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะกระทำอย่างนั้นได้ แต่ก็มีผู้ที่กระทำซึ่งผู้ที่กระทำก็ไม่มีความต้องการที่จะกระทำชั่ว แต่ทำไมทำชั่ว เหมือนเราไม่อยากโกรธแต่ทำไมโกรธ (เพราะ) บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ได้รู้ความจริง ไม่มีทางที่จะละเว้นทุจริตกรรมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น คนในชาติในปัจจุบัน เราเห็นความวิกฤต (ความเสื่อมอย่างหนัก) อย่างยิ่ง คือ มีการทุจริตทุกวงการและไม่มีทางที่จะแก้ไขด้วยเพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้ว่าวิกฤตเกิดจากอะไรย่อมแก้ไขไม่ได้ แต่ถ้ารู้เหตุว่าวิกฤตเกิดจากอะไรก็จะแก้ไขได้ ด้วยเหตุนี้ วิกฤตของประเทศชาติก็มาจากวิกฤตของพระพุทธศาสนาซึ่งไม่มีใครเข้าใจ เพราะเหตุว่าคิดว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจธรรมจึงเป็นวิกฤต ค่อยๆ เข้าใจเมื่อไหร่ก็จะแก้ไขวิกฤตได้
~ ในครั้งพุทธกาล ถ้าคฤหัสถ์ไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร ภิกษุจะต้องประพฤติตามสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ คฤหัสถ์นั้นก็ไม่สามารถที่จะเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาเมื่อภิกษุทำสิ่งที่ไม่สมควร แต่ในครั้งพุทธกาลเมื่อมีภิกษุรูปใดกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะควร อุบาสกอุบาสิกาซึ่งเป็นคฤหัสถ์ที่เข้าใจ จึงเพ่งโทษคือให้รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ ภิกษุประพฤติในสิ่งที่ผิดไม่ได้ เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าเมื่อเป็นภิกษุก็ต้องขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์โดยตั้งแต่ตื่นจนหลับ จะต้องสำนึกว่าเราไม่ใช่คฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ใช่คฤหัสถ์ คือใคร? คือ ผู้ที่อุทิศตน เพราะเห็นคุณของการที่ได้ฟังพระธรรมซึ่งสามารถที่จะทำให้ขัดเกลากิเลสตามอัธยาศัยที่ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นไม่มีการบังคับ ไม่มีการชักชวนกันให้ใครไปบวช หรือว่าต้องบวชจึงจะได้เข้าใจธรรม ไม่มีเลย เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือเป็นคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะฟังธรรมและเข้าใจธรรมได้
~ พุทธบริษัททั้งหมด ต้องพร้อมเพรียงกันศึกษาธรรมให้เข้าใจถูกต้องเพื่อที่จะดำรงรักษาไว้ซึ่งบริษัทหนึ่งบริษัทใดที่ประพฤติผิด ให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
~ ภิกษุใดรับเงินและทอง ในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา เพ่งโทษให้รู้ว่าเป็นโทษ เพราะนั่นไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ภิกษุในธรรมวินัยสละชีวิตแล้วเพื่อที่จะศึกษาพระธรรม ซึ่งจะต้องศึกษาพระธรรม ไม่อย่างนั้นจะบวชทำไม คฤหัสถ์ยังฟังธรรม แต่ก็รู้ว่าไม่บวช เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต เพราะฉะนั้น ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา จึงมีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ตามอัธยาศัย
~ ถ้าจะดำรงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ ก็คือ เข้าใจคำสอนโดยพุทธบริษัททั้งหมด
~ ภิกษุไม่ใช่เพียงแต่จะศึกษาธรรมเพื่อที่จะประกาศธรรมให้คฤหัสถ์ซึ่งมีเวลาน้อยกว่าได้เข้าใจถูกต้อง แต่ยังจะต้องประพฤติขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ด้วย
~ ถ้าได้อ่าน ได้ศึกษาพระวินัย ก็จะรู้ว่าภิกษุคือผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อที่จะศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสโดยเข้าใจพระธรรมและประพฤติตามสิกขาบท มิฉะนั้นแล้วก็ไม่ใช่ศากยบุตร พระองค์ตรัสว่าไม่ใช่คนของเรา เพราะเหตุว่าไม่ได้ประพฤติตามพระองค์ แต่ว่า ถ้าเป็นพระภิกษุแล้ว ก็คือ ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการทูลขออุปสมบท (ขอบวช) เพื่อศึกษาพระธรรมและประพฤติตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ พระพุทธเจ้า ประพฤติอย่างไร ศากยบุตรประพฤติต่างได้ไหม? โดยกาย โดยวาจา ต้องขัดเกลาถึงอย่างนั้น, ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าคฤหัสถ์ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย จะดำรงพระศาสนาได้ไหม? เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจธรรม แต่ต้องเข้าใจพระวินัยด้วย มิฉะนั้น เราก็ไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร และพระภิกษุเองก็ไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร เพราะฉะนั้น ก็มีคฤหัสถ์ที่กล่าวว่า คฤหัสถ์ก็ไม่รู้จักพระ พระก็ไม่รู้จักพระ
~ ถ้าพระรู้จักพระ กาย วาจา จะเป็นเหมือนคฤหัสถ์ได้ไหม?
~ วิกฤตพระพุทธศาสนา เพราะไม่เข้าใจธรรม ฟังแค่นี้ก็ต้องไตร่ตรองว่าถูกไหม?
~ ไม่เข้าใจธรรมแต่ละคำ แต่คิดว่าเข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็หลงผิด นั่นก็คือทำให้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันตรธาน คือ สูญสิ้นไป นี่คือวิกฤต เพราะฉะนั้น การแก้วิกฤต ก็คือ ขณะนี้ทุกท่านกำลังฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ เข้าใจเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะค่อยๆ แก้วิกฤตพระพุทธศาสนาได้
~ ไม่เข้าใจคำสอน จึงวิกฤต เช่น ให้เงินให้ทองพระภิกษุ มีสำนักปฏิบัติ มีผ้ายันต์ มีอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ทำไมเราไม่คิดไตร่ตรองว่าแต่ละหนึ่งๆ คืออะไร แล้วเราจะเข้าใจว่านั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือคำที่ทำลายคำสอนของพระสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ตรง ประโยชน์อยู่ที่ทุกคนที่เข้าใจถูก เพราะว่า ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งความเข้าใจถูกนี้ เวลาได้ฟังพระธรรมต่อไป ไม่ว่าจะมากจะน้อยอย่างไรในชาตินี้ ก็เป็นผู้ที่ตรงว่านี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แต่เพียงฟังเท่านี้ ไม่พอ เพราะว่าความจริง ยังมีอีกมาก
~ ไม่มีความเข้าใจพระธรรมวินัยอย่างถูกต้อง จึงวิกฤต เพราะฉะนั้น ความเข้าใจผิด ก็ทำให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ผิด ไม่ใช่การส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่ว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
~ ความไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน ถ้าใครตอบได้ หมายความว่าเข้าใจ? อยู่ตรงความไม่รู้ที่มีอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่กำลังไม่รู้ จะแก้วิกฤตไม่ได้ แต่เมื่อมีความเข้าใจขึ้น ในแต่ละหนึ่งที่เข้าใจนั่นแหละจะแก้วิกฤตได้
~ ไม่ใช่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไปหยิบยื่นปัญญาให้แก่ใคร แต่ แต่ละคำของพระองค์ ตรัสให้คนฟังได้ไตร่ตรอง ได้คิดได้พิจารณา ความเข้าใจที่ถูกต้องเกิดเมื่อไหร่ นั่นคือ สมบัติซึ่งหาอีกไม่ได้ในชาตินี้ซึ่งจะติดตามต่อไปทำให้ไม่เข้าใจผิด
~ ไม่เข้าใจธรรมเลย ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น แต่อยากบวช เมื่อบวชแล้วเป็นภิกษุหรือเปล่า? เพราะว่า ภิกษุคือผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ เพราะเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์จึงสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เพราะสะสมมาที่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าพระภิกษุจะต้องประพฤติอย่างไร ต่างจากคฤหัสถ์อย่างไร
~ แม้ในครั้งอดีต ผู้ฟังธรรมก็มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต คนไหนที่คิดว่าจะปฏิบัติตามพระวินัยไม่ได้ เขาก็ไม่บวช เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายุคไหนทั้งสิ้น ถ้าใครคิดว่าประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยไม่ได้ ก็ไม่บวช
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติพระวินัยด้วยพระมหากรุณาเพื่อที่จะให้ผู้ที่ขัดเกลากิเลสได้รู้ว่าการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตจะต้องต่างและห่างไกลจากเพศคฤหัสถ์ ผู้ใดที่ทำได้เท่านั้นจึงสมควรเป็นบรรพชิต ไม่ใช่อยากบวชแต่ทำตามพระธรรมวินัยไม่ได้ ถ้าคิดว่าจะเพิกถอนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงบัญญัติไว้ก็เท่ากับเขาเพิกถอนความเป็นพระสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?
~ ทำไมเรานับถือพระพุทธศาสนา? เพราะว่าศาสนาอื่น ไม่ได้สอนให้ได้เข้าใจความจริง ทุกคนก็รู้ว่าสิ่งที่ไม่ดี มีมาก แล้วสิ่งที่ไม่ดีจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปได้อย่างไร ตราบใดที่ยังเป็นผู้ไม่รู้ความจริง ว่า อะไรถูก อะไรผิด ก็จะต้องประพฤติไปตามความไม่รู้คือเข้าใจผิดว่าสิ่งนั้นสมควร เพราะฉะนั้น ลองพิจารณาดูว่าภิกษุคือผู้ที่สละชีวิตคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตเพื่อศึกษาพระธรรม เพื่อธรรมที่เข้าใจนั่นแหละจะขัดเกลากิเลส
~ ภิกษุผู้ที่คิดว่าจะสละกิเลส แต่รับเงิน สละกิเลสหรือเปล่า ต้องไตร่ตรอง ต้องคิด สละหรือเปล่า? ก่อนบวชสละเงินและทองแล้วเพื่อศึกษาธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส แต่พอจะรับเงิน สละกิเลสหรือเปล่า ขัดเกลาหรือเปล่า เข้าใจธรรมหรือเปล่า ถ้าเข้าใจธรรม ภิกษุจะรับเงินหรือ?
~ แต่ละคนที่ไม่รู้ ก็ทำให้เกิดวิกฤต เพราะเหตุว่าแทนที่จะเข้าใจพระธรรมวินัย ก็กลับส่งเสริมและทำลายพระธรรมวินัยด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจและจริงใจแล้วก็เป็นผู้ตรง แม้แต่ความตรง ความจริงใจและความเข้าใจ ให้ประโยชน์กับตนเองในขณะที่ฟังสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใครจะกล่าวความถูก ความผิด อย่างละเอียดยิ่ง
~ ภิกษุใดก็ตาม ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลส ย่อมเป็นที่เคารพกราบไหว้ แต่ว่าถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย
~ ที่มีการสร้างสิ่งอะไรต่างๆ ตามวัดต่างๆ เช่น เทวรูป เป็นต้น ทำให้คนเข้าใจผิดหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เห็นผิด ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย บูชาใคร จึงสร้างสิ่งเหล่านั้นไว้ สร้างไว้ทำไม สร้างไว้กราบไหว้ กราบไหว้อะไร ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความเห็นผิด แล้วก็เป็นการชักชวนให้คนเห็นผิด ไม่ใช่ให้เข้าใจพระธรรม
~ ฝากคำถามข้อสุดท้าย คือ "เมื่อทราบแล้วว่าวิกฤตพระพุทธศาสนาเกิดจากอะไร ที่ไหน เพราะฉะนั้น คิดที่จะเพิ่มวิกฤตหรือคิดจะแก้วิกฤต?"
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...