จากไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่
เหมือนกับการจับด้ามมีด การสนทนาธรรมแม้จะซ้ำคำเก่า เรื่องเก่า แต่เป็นไปเพื่อการเข้าใจความจริงว่าขณะนี้ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ แม้ว่าจะมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่รู้ความจริง จะค่อยๆ รู้ได้โดยไม่ขาดการฟัง ต้องฟังต่อไป อุปมาเหมือนเรือที่เกยบก วันเวลาผ่านไปในที่สุดก็เปื่อยผุพัง เช่นเดียวกับการอบรมเจริญปัญญาก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน จะขาดการฟังการศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย
จากไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ เป็นความจริงของธรรมะ แม้จะได้ยินได้ฟังข้อความนี้แต่ยังไม่ลึกลงไปถึงใจ เพราะความเข้าใจยังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจความเป็นจริงของธรรมะจริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับไป จึงหลงยึดถือติดข้องในสิ่งที่ไม่มีด้วยความไม่รู้ พระธรรมแต่ละคำเป็นเครื่องอุปการะจริงๆ
ต้องรู้ว่าไม่รู้ความจริงแม้ว่าสิ่งนั้นปรากฏตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้ฟัง เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าทุกคำมาจากใคร จากการตรัสรู้จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่าเห็นขณะนี้ ก่อนเห็นไม่มีเห็น เห็นเกิดเห็น แล้วเห็นก็ดับไป เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้ไม่ใช่เห็นขณะก่อน ทุกอย่างเกิดแล้วดับและไม่กลับมาอีกเลย ฟังไว้!! ติดข้องไหมในสิ่งที่ไม่มี?? เพราะไม่รู้จึงติดข้อง จนกว่าจะรู้อย่างนี้เมื่อไหร่ก็ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง จะเอาความรู้เหล่านี้มาจากไหน?? ฟังสิ่งซึ่งเป็นความจริงบ่อยๆ ฟังแล้วฟังอีก เพราะว่าฟังแล้วก็ลืม..ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็คิดถึงเรื่องอื่นเพราะจดจำเรื่องอื่นไว้มาก เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องได้ยินและไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ แล้วรู้ด้วยว่าพอไม่ฟังก็ลืม
กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ