ตอบจดหมายของคณะสงฆ์สำนักสงฆ์ถ้ำซุ้มโบสถ์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สืบเนื่องจากจดหมายที่คณะสงฆ์สำนักสงฆ์ถ้ำซุ้มโบสถ์ บ.เขาห้ายอด ต.พลวงทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี กล่าวถึงการทำหน้าที่ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในหลายประเด็น (ตามเนื้อหาจดหมายที่อยู่ในไฟล์ pdf ด้านบนของกระทู้นี้) นั้น มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จึงขอโอกาสตอบจดหมายชี้แจงในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้
ตอบจดหมายของคณะสงฆ์สำนักสงฆ์ถ้ำซุ้มโบสถ์ บ.เขาห้ายอด ต.พลวงทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาขออนุโมทนาคณะสงฆ์สำนักสงฆ์ถ้ำซุ้มโบสถ์ ที่มีความเห็นที่สอดคล้องตรงกันกับมูลนิธิ ฯ ว่า ภิกษุส่วนใหญ่ในยุคนี้ ไม่ได้ปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ มีการประพฤตินอกรีตนอกรอย ทำให้พุทธศาสนิกชนจำนวนมากเกิดความเบื่อหน่ายและเสื่อมความเลื่อมใสในหมู่สงฆ์ และเห็นด้วยในการที่พุทธศาสนิกชน ไม่เฉพาะภิกษุเท่านั้น มีความหวังดีและคิดปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา หวังความถูกต้องตามพระธรรมวินัย สิ่งใดไม่ถูกต้องก็ช่วยกันชี้แจงแสดงเหตุผล ตามหลักคำสอน มีที่มาที่ไป ไม่ใช่ความคิดเห็นตามความเข้าใจส่วนตัว หรือเชื่อถือยึดมั่นตามความเห็นของบุคคลที่ตนนับถือเท่านั้น
มูลนิธิ ฯ ขอกราบเรียนว่า มูลนิธิ ฯ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาเถรวาท ตามพระธรรมวินัยอันเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกรวมทั้งอรรถกถาฎีกามาโดยตลอด โดยมูลนิธิ ฯ มั่นคงในคำสอนตามพระธรรมวินัยด้วยความเคารพนอบน้อม จะไม่แสดงความคิดเห็นใดที่เป็นความเห็นส่วนตัวหรือความเห็นของบุคคลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือฆราวาสที่มีชื่อเสียงมากน้อยเพียงใด เพราะจะเป็นการทำลายพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลบเลือนเสื่อมสูญไป นำมาซึ่งภัยร้ายแรงให้เกิดขึ้นแก่ตนและพุทธศาสนิกชนทุกฝ่าย
ในขณะเดียวกันมูลนิธิ ฯ ในฐานะพุทธบริษัทฝ่ายคฤหัสถ์ก็มีหน้าที่สำคัญที่ต้องรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทด้วยการเผยแพร่ อธิบาย และชี้แจงพระธรรมวินัย เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และต้องมีส่วนร่วมในการสนับสนุนภาครัฐเพื่อป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่ารูปแบบใด เช่น เรื่องภิกษุไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๖๗ วรรคสอง
สำหรับจดหมายของคณะสงฆ์สำนักสงฆ์ถ้ำซุ้มโบสถ์ที่ได้แสดงความห่วงกังวลในการเผยแพร่พระธรรมวินัยของมูลนิธิ ฯ ที่เข้าใจว่าจะมีผลกระทบต่อภิกษุสงฆ์และพระพุทธศาสนานั้น มูลนิธิ ฯ ขอกราบเรียนชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันดังต่อไปนี้
๑.เรื่องที่เข้าใจว่ามูลนิธิ ฯ เหมารวมว่าพระภิกษุในประเทศไทยเป็นอลัชชี ทุศีลไปเสียทั้งหมด
มูลนิธิ ฯ ขอกราบเรียนว่า ในการสนทนาธรรมแต่ละครั้ง มูลนิธิ ฯ จะเน้นย้ำความเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยว่ามีความประพฤติปฏิบัติด้วยความเคารพในพระธรรมวินัยอย่างไร แล้วสนทนาปัญหาของการกระทำที่เกิดขึ้นในแต่ละเหตุการณ์ ไม่เคยกล่าวเหมารวมพระภิกษุทั่วประเทศว่าเป็นภิกษุทุศีล แต่กล่าวตามพระธรรมวินัยว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยเป็นอย่างไร ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัยเพราะอะไร เพื่อให้พุทธบริษัทมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัย การที่มีผู้เข้าใจว่ามูลนิธิ ฯ เหมารวมว่าภิกษุทั้งประเทศทุศีลนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการตัดต่อข้อความจากคำบรรยายทั้งหมดแล้วถ่ายทอดออกไปไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
๒.เรื่องที่เข้าใจว่า มูลนิธิฯ ปรับอาบัติพระภิกษุ โดยที่ตนเองไม่ใช่ภิกษุและไม่ใช่พระวินัยธร ไม่มีการสอบถามผู้กระทำผิดเลย แต่กล้าตัดสิน ชี้ถูกผิดการกระทำของภิกษุ
มูลนิธิ ฯ ขอกราบเรียนชี้แจงว่า มูลนิธิ ฯ มีหน้าที่เผยแพร่พระธรรมวินัยที่ถูกต้อง ไม่มีหน้าที่และไม่เคยคิดที่จะปรับอาบัติพระภิกษุ แต่มูลนิธิ ฯ ต้องกล่าวคำตามพระธรรมวินัย เพื่อช่วยให้พุทธบริษัทได้รู้ความจริง ซึ่งเป็นการดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งพระธรรมและพระวินัย ดังนั้น ที่จดหมายกล่าวถึงเรื่องวัดมีรูปปั้นเทพนอกศาสนาทำให้ภิกษุนั้นเข้ารีตเดียรถีย์หรือไม่ เรื่องภิกษุทำพิธีเพื่อช่วยเด็กที่ติดอยู่ในถ้ำ เป็นมิจฉาอาชีวะหรือไม่ และเรื่องภิกษุกล่าวว่าเห็นเด็กในถ้ำ เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมหรือไม่ โดยอ้างว่ามูลนิธิ ฯ ปรับอาบัติภิกษุนั้น จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปอย่างมาก เพราะการปรับอาบัติภิกษุนั้นเป็นกิจของสงฆ์ตามพระวินัยบัญญัติ มีขั้นตอนที่ชัดเจน ไม่เกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์แม้แต่น้อย มูลนิธิ ฯ กล่าวเฉพาะพระธรรมและพระวินัยบัญญัติ ถึงพฤติการณ์ต่างๆ เท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์ปรากฏเป็นอย่างไร ก็เทียบเคียงกับพระธรรมวินัยตามเรื่องนั้นๆ มิได้ก้าวล่วงไปวินิจฉัยถึงตัวบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ในแต่ละครั้งที่กล่าวถึงพฤติกรรมใดที่เกิดขึ้น จักต้องอธิบายให้พุทธบริษัทได้เข้าใจถึงความเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยที่ถูกต้องเสียก่อน อธิบายว่าภิกษุมีกิจและหน้าที่ที่จะขัดเกลากิเลสตามพระธรรมวินัยเป็นสำคัญอย่างไร จึงจะเป็นการกล่าวพระธรรมวินัยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ พุทธบริษัทจึงจะเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
๓.เรื่องที่อ้างว่า แม้ภิกษุณีมีศีลถึง ๓๑๑ ข้อ มากกว่าคฤหัสถ์ ว่ากล่าว ด่า บริภาษ เหน็บแนม ประชดประชันภิกษุ ยังเป็นอาบัติ แม้ภิกษุติเตียน โพนทะนาภิกษุด้วยกันก็เป็นอาบัติ แล้วคฤหัสถ์ที่ศีลน้อยกว่าจะมาว่ากล่าวสั่งสอนติเตียนภิกษุ สมควรหรือ
มูลนิธิ ฯ ขอกราบเรียนชี้แจงว่า ตามพระวินัยของภิกษุและภิกษุณีดังกล่าวนั้น เป็นพุทธบัญญัติสำหรับภิกษุและภิกษุณี ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง ต้องสำนึกเสมอว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์ มิใช่คฤหัสถ์ ดังนั้น สิ่งใดที่เป็นภัยแก่สมณเพศ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติข้อที่ไม่พึงกระทำไว้ ส่วนพุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์นั้นแตกต่างกัน โดยมีข้อความปรากฏในพระธรรมวินัยหลายแห่งว่า เมื่อชาวบ้านพบภิกษุประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะไม่ควรแก่สมณเพศ ก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ตามพระธรรมวินัย อันเป็นการทำหน้าที่ในฐานะของพุทธบริษัท และเป็นที่มาของพุทธบัญญัติสิกขาบทของภิกษุส่วนใหญ่ ไม่มีข้อความใดห้ามคฤหัสถ์มิให้กระทำสิ่งที่ถูกต้องดังกล่าวแต่อย่างใดเลย ดังจะขอยกเหตุการณ์ของนายบ้านชื่อมณิจูฬกะเป็นอุทาหรณ์ที่กล่าวชัดเจนว่า เมื่อพวกราชบริษัทสนทนากันว่า เงินทองควรแก่สมณศากยบุตร ณ ที่ประชุม นั้น นายบ้านชื่อมณิจูฬกะ กล่าวชี้แจงว่า เงินทอง ไม่ควรแก่สมณะศากยบุตร เพราะสมณศากยบุตร สละเงินทองแล้ว จึงบวช เมื่อบวชแล้วจึงไม่สามารถรับเงินทองได้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ราชบริษัทยินยอมตามนั้นได้ จึงเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระวิหารเวฬุวัน กราบทูลข้อความดังกล่าวว่า การที่ตนเองได้กล่าวชี้แจงอย่างนั้น เป็นการกล่าวตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เป็นการกล่าวตู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ที่นายบ้านมณิจูฬกะได้กล่าวชี้แจงอย่างนั้น เป็นการกล่าวตามพระองค์ และไม่เป็นการกล่าวตู่พระองค์เลย เพราะสมณศากยบุตร ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เงินทองไม่ควรแก่สมณศากยบุตร ไม่มีคำแม้แต่คำเดียวที่พระองค์ตรัสให้ภิกษุแสวงหาเงินทองโดยประการใดๆ เลย ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตวรรค มณิจูฬกสูตร ว่า
“เป็นจริงดังนั้น นายคามณี เมื่อท่านพยากรณ์อยู่อย่างนี้ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง และท่านย่อมพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม และสหธรรมิกไรๆ คล้อยตามวาทะ จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชนพึงติเตียนได้ เพราะว่าทองและเงิน ไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน
ดูกร นายคามณีทองและเงินควรแก่ผู้ใด เบญจกามคุณก็ควรแก่ผู้นั้น เบญจกามคุณควรแก่ผู้ใด ทองและเงินก็ควรแก่ผู้นั้น ดูกร นายคามณีท่านพึงทรงจำความที่ควรแก่เบญจกามคุณนั้นโดยส่วนเดียวว่า ไม่ใช่ธรรมของสมณะ ไม่ใช่ธรรมของศากยบุตร”
พระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังกล่าวข้างต้น ทรงรับรองการกล่าวถึงการประพฤติผิดพระวินัยบัญญัติของภิกษุ แม้ผู้กล่าวจะเป็นเพียงคฤหัสถ์ก็ตาม มิได้ทรงห้ามไม่ให้ว่ากล่าวติเตียนภิกษุแต่อย่างใด
ในทางตรงข้าม มีข้อความในพระวินัยปิฎกว่า เมื่อคฤหัสถ์ (อนุปสัมบัน) กล่าวพระวินัยบัญญัติ หรือ ธรรม แล้วภิกษุไม่เอื้อเฟื้อด้วยดี คัดค้าน ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ ตามข้อความในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปาจิตตีย์ สิกขาบทที่ ๔ แห่งสุราปานวรรค ในส่วนของสิกขาบทวิภังค์ ดังนี้ ว่า
“ภิกษุถูกอนุปสัมบันว่ากล่าวอยู่ ด้วยพระบัญญัติ ก็ดี ด้วยข้อธรรมอันมิใช่พระบัญญัติ ก็ดี แสดงความไม่เอื้อเฟื้อ โดยอ้างว่า ข้อนี้ ไม่เป็นไปเพื่อความขัดเกลา ไม่เป็นไปเพื่อความกำจัด ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้ที่น่าเลื่อมใส ไม่เป็นไปเพื่อความไม่สะสม ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ต้องอาบัติทุกกฏ”
๔.เรื่องที่กล่าวว่า ภิกษุบางท่านรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บวชเข้ามาแสวงหาลาภยศเพื่อเลี้ยงชีวิต เป็นการทำลายพระศาสนา สร้างเหตุนำตนไปสู่อบายภูมิ เป็นเรื่องที่น่าเห็นอกเห็นใจ น่ากรุณาต่อภิกษุเหล่านั้น ที่ไม่เข้าใจธรรม มากกว่าช่วยกันซ้ำเติม ดูหมิ่น เหยียดหยาม ว่าเป็นอลัชชี เป็นผู้ทุศีล เป็นมหาโจร ทำให้ผู้ฟังมีจิตใจกระด้างต่อภิกษุสงฆ์ด้วยโทสะ แทนที่จะมีจิตเมตตากรุณา
มูลนิธิ ฯ ขอกราบเรียนชี้แจงว่า การแสดงสิ่งที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย อันเป็นพระวาจาสัจจ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีแต่จะนำประโยชน์มาให้เพียงฝ่ายเดียว เพราะทำให้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสัมมาทิฏฐิ แม้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นคำเตือนที่ตำหนิผู้ประพฤติปฏิบัติผิด ซึ่งเป็นธรรมดาที่ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่ผู้นั้น แต่พระพุทธดำรัสเป็นคำจริง บุคคลผู้ที่มีเหตุและผลย่อมสำนึกและกลับใจ หันมากระทำสิ่งที่ถูกต้องได้ในที่สุดตามลำดับ ดังที่ปรากฏในพระสูตรหลายพระสูตรที่มีภิกษุผู้ไม่อาจประพฤติปฏิบัติตนในสมณเพศได้ ต่างก็ลาสิกขาออกมาศึกษาพระธรรมในเพศคฤหัสถ์ที่ตรงเหมาะสมกับอัธยาศัยของตน ไม่ทำให้เกิดภัยแก่ตนเองและพระศาสนา
ทั้งนี้ การกล่าวพระธรรมวินัยของมูลนิธิ ฯ มิได้เกิดจากเจตนาดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยาม ด้วยอกุศลจิตแม้แต่น้อย แต่เป็นการเกื้อกูลพระธรรมคำสอนตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงและย้ำเตือนพุทธบริษัทด้วยพระวาจาสัจจ์ให้เกิดความเข้าใจถูกจริงๆ มิใช่คำของใครคนใดคนหนึ่งที่คิดขึ้นเอง แต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เป็นการอนุเคราะห์ให้พิจารณาในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของภิกษุผู้ได้ยินได้ฟัง เมื่อภิกษุเริ่มไตร่ตรองคำแต่ละคำที่ตรัสเตือน ย่อมทำให้มีเหตุผลและทบทวนความผิดถูก แล้วหันมาศึกษาพระธรรมวินัยเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ทำให้สามารถประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ถูกต้อง เป็นที่เคารพเลื่อมใสของคฤหัสถ์ทั้งหลาย มิต้องเกรงว่าคฤหัสถ์จะมีใจกระด้างต่อภิกษุสงฆ์ต่อไป
การศึกษาและเผยแพร่พระธรรมวินัย ต้องเป็นผู้ที่ตรงและมีเหตุผล จึงจะรู้ความจริงของพระธรรมได้ ตามข้อความในปปัญจสูทนี อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ธาตุวิภังคสูตร ที่แสดงถึงความเป็นผู้ตรง เป็นแกนกลางสำคัญในการรู้ความจริง ดังนี้ว่า
“บทว่า สจฺจมนุรกฺเขยฺย ความว่า พึงรักษาวจีสัจจะตั้งแต่ต้น เพื่อทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถสัจจะคือนิพพาน” เพราะเหตุว่า จิตที่ซื่อตรง จริงใจต่อวาจาจริง ย่อมนำไปสู่ความจริงทั้งหมด เพราะบุคคลผู้ต้องการความจริง แสวงหาความจริง ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในความจริงตั้งแต่ต้น และในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เมตตสูตร ยังมีข้อความที่แสดงถึงว่า “กุลบุตร พึงเป็นผู้ตรง และตรงด้วยดี” อีกด้วย
การเผยแพร่พระธรรมวินัย ย่อมช่วยให้พุทธบริษัทมีปัญญาและประพฤติปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง นำความเจริญมาให้โดยประการทั้งปวง เพราะปัญหาทั้งหมดมาจากความไม่เข้าใจพระธรรมวินัย จึงทำให้หลงผิดไปกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และตราบใดที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ย่อมไม่มีทางแก้ไขปัญหาใดๆ ได้
การแสดงให้เห็นโทษภัยของความไม่เข้าใจและการประพฤติปฏิบัติผิดต่อพระวินัยบัญญัติ พร้อมแสดงสิ่งที่ถูกต้องให้เกิดความเห็นถูก จึงเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นการทำให้จิตผ่องใสด้วยปัญญา ทำความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยยิ่งขึ้น เป็นหนทางที่จะทำให้อลัชชีภิกษุกลับเป็นลัชชีภิกษุ ทำให้คฤหัสถ์เป็นอุบาสกอุบาสิการัตนะ มีความเลื่อมใสศรัทธาทำนุบำรุงเหล่าภิกษุสงฆ์ที่รักษาพระวินัยให้อยู่ด้วยความดีและผาสุก ไม่สนับสนุนภิกษุผู้ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยซึ่งเป็นผู้เก้อยาก แต่ให้กำลังแก่เหล่าสมณะผู้ประพฤติชอบ มีอัธยาศัยในการขัดเกลาอาสวกิเลสที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิดขึ้น ดำรงพระสัทธรรมและรักษาพระวินัยบัญญัติให้มั่งคงยิ่งขึ้น อันเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทให้สืบทอดต่อไป ดังข้อความที่ปรากฏในสมันตปาสาทิกา อรรถกถา พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เวรัญชกัณฑ์ ว่า
“พระวินัย เป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยยังดำรงอยู่ พระพุทธศาสนา ย่อมชื่อว่ายังดำรงอยู่”
...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน...
กราบอนุโมทนากับคำตอบที่ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยของ มศพ. การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของพระศาสนาต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความซื่อตรงต่อพระธรรมวินัยเช่นนี้ โดยการกล่าวคำจริง ไม่ใช่คำลวง ไม่ได้ให้ร้าย ไม่ได้มุ่งร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใด ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกๆ ฝ่าย ขจัดความไม่รู้ ความเห็นผิดที่มีอยู่ให้ลดน้อยลงครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
กราบอนุโมทนาสาธุครับ กราบขอบพระคุณ อาจารย์และคณะทุกท่านของทางมูลนิธิครับ
ด้วยความเคารพยิ่ง ผมได้ฟังคำจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ ถือว่าเป็นมงคลยิ่งแล้วแก่ชีวิต จะตายตอนไหนผมก็ไม่ติดข้องอะไรแล้ว กราบขอบพระคุณอีกครั้ง
นายภูเมธ แก้วเขียว
สาธุๆ ๆ กราบอนุโมทนา และเห็นด้วยทุกประการ ..ต้องกล้าที่จะกล่าวคำจริง และเป็นคนตรง..เราหลงทางกันมานานเกินไปแล้ว..
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาคำตอบที่ตรงตามพระธรรมวินัยเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาในคำตอบซึ่งตรงต่อความเป็นจริง ด้วยเจตนาอันปราศจากอกุศลทั้งปวง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ...
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบอนุโมทนา ขอให้พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดเผยและรุ่งเรือง
เป็นการตอบจดหมาย ที่ไพเราะยิ่ง ครบถ้วนกระบวนความ หากอ่านด้วยดี ย่อมเข้าใจ ถึง สภาพธรรม ที่เมตตายิ่ง กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาครับ ตอบได้ตรงครับ เรื่องพระวินัย เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของผู้มีปัญญาที่จะสามารถรักษาพระธรรมวินัยไว้ได้ อาบัติที่ทรงบัญญัติไว้เกิดขึ้นได้ ทั้งมีเจตนา และไม่มีเจตนา เมื่อการกระทำนั้นสำเร็จ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
น้อมบูชาพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
สาธุ สาธุ สาธุ
กราบอนุโมทนากับคำตอบที่ตรง งดงาม และอาจหาญในพระธรรมของมูลนิธิค่ะ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ต่ออินเทอร์เน็ตไปที่ google พิมพ์ พระไตรปิฎก เล่มที่ 9 พรหมชาลสูตร 02 เรื่อง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล กด Enter
คำตอบชัดเจนเพื่อเกื้อกูล มีความเมตตาต่อผู้ที่ยังมีความไม่รู้อยู่อีกมาก
กราบอนุโมทนาครับ
ตอบได้ตรงแจ่มแจ้งครับ แต่ส่วนใหญ่ในสังคมจะเห็นด้วยหรือไม่ คงต้องคิดแล้วว่าพวกเขารับได้หรือไม่ครับ...
พระธรรมวินัย พระองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจนดีแล้ว ขอกราบบูชาพระรัคนไตร ขออนุโมทนากับคณะ มศพ. ขอรับ
กราบอนุโมทนาครับ จะเห็นได้ว่าการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จำเป็นอย่างยิ่ง