ผีหรือสิ่งเร้นลับ

 
tongsutlo
วันที่  28 ส.ค. 2561
หมายเลข  30031
อ่าน  1,369

ธรรมะคือทุกสิ่งที่มีจริง ผีหรือสิ่งเร้นลับที่เกิดจากความคิดปรุงแต่งเป็นรูปร่าง ขึ้นมา ถามว่าสิ่งที่คิดแบบนี้ เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ส.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขณะที่คิดถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใด ขณะนั้นไม่ใช่เราคิด แต่เป็นธรรมที่คิด ซึ่งเป็นสภาพรู้ คือ จิต สภาพรู้ จึงเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม ครับ

ขอเพิ่มเติมเรื่องประเด็น ผี วิญญาณ ดังนี้ครับ

คำว่า ผี ความเข้าใจส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่าเป็นบุคคลที่ตายแล้วและก็เป็นวิญญาณล่องลอยและปรากฎให้เห็นได้ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะธรรมแล้ว เมื่อตายแล้วคือจุติจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิต (การเกิด) เกิดต่อเปลี่ยนภพภูมิทันที ไม่ใช่ว่าจะต้องมีวิญญาณล่องลอยที่จะคอยหาที่เกิดเป็นผีครับ ตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่กรรมที่จะให้ผลครับ หากเกิดเป็นสัตว์ก็คงไม่เรียกว่าผี หากเกิดเป็นมนุษย์ก็คงไม่เรียกว่าผี แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาซึ่งเทวดาก็สามารถปรากฏให้เห็นได้ ใช่ผีหรือเปล่า ซึ่งในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แบ่งภพภูมิเป็นหลายภพภูมิ ทั้งมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต เทวดา เป็นต้น ผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทวดาเปรต ก็เรียกว่าอมนุษย์ครับ

ส่วนในบางกรณีสำหรับการที่บางบุคคลพบกับบุคคลที่ตายไปแล้ว ยังมาให้เจออีกประเด็นนี้เราควรมีความเข้าใจถูกครับว่าที่เห็นเป็นบุคคลที่ตายแล้ว ยังอยู่ให้เห็นก็เพราะสัตว์นั้นไปเกิดเป็นเปรตทันที ต้องการส่วนบุญเพราะเปรต อาหารที่เขาจะได้รับคือการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ได้ก็ด้วยการปรากฎให้เห็น เพื่อบุคคลอื่นจะได้ทำบุญไปให้กับเปรตนั้นครับ แต่จะต้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอยที่คอยตามและแสวงหาที่เกิดแต่ตายแล้วเกิดทันทีครับ ผู้ที่เกิดเป็นเปรตต้องการส่วนบุญจึงปรากฎให้เห็น ซึ่งในพระไตรปิฎก สมัยพุทธกาลก็มีบางบุคคลเจอบุคคลที่ตายแล้ว เพื่อมาขอส่วนบุญกับบุคคลที่เจอโดยให้คนที่มีชีวิตอยู่อุทิศกุศลที่ทำไปแล้วไปให้เปรตได้รับรู้และอนุโมทนาครับ

หากเป็นสัจจะความจริงก็จะเข้าใจขึ้น และไม่เข้าใจผิดในคำว่าผีตามภาษาไทยและความเข้าใจเดิมครับ สัตว์โลกมีภพภูมิมากมาย ตามอำนาจของกรรมและมีความหลากหลายและความวิจิตรของสภาพธรรม ปัญญา ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นเครื่องเตือนและเข้าใจความจริงในสิ่งที่รู้และทราบในชีวิตประจำวันครับ

ที่สำคัญที่สุด ในสัจจะ ธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้สัตว์โลกเข้าใจความจริงที่สัตว์โลกยึดถือด้วยความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีผีมีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ในความจริงแล้ว สัจจะที่เป็นอริยสัจจะ พระองค์ทรงแสดงว่ามีแต่สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป หากไม่มีสภาพธรรมไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีสภาพธรรมอะไรเลย จะมีสัตว์ บุคคลหรือแม้แต่ผีที่เป็นเปรต จะมีได้ไหม มีไม่ได้เลยครับ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมคือการเพิกถอนความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลหรือมีผี ทั้งๆ ที่ความจริงมีแต่สภาพธรรมเท่านั้นในขณะนี้ที่คิดนึก เมื่อเราเข้าใจความจริงอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้สามารถอบรมปัญญา ดับกิเลสได้เพราะเป็นสัจจะ เข้าใจตามสัจจะที่พระองค์ทรงแสดง ผีมีเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยินและไม่มีคิดนึก ผีจะมีได้ไหมครับ ดังนั้นเรากลัวอะไรนอกจากกลัวความคิดนึกของเราเองหลังจากเห็นและได้ยิน เพราะความจริงมีแต่สภาพธรรมครับ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย ปัญญายังไม่มากพอก็ยังกลัวเพราะความไม่รู้และกิเลสที่สะสมมา

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 29 ส.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐของชีวิต เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความเข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริง เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคง ในเหตุในผล ย่อมจะไม่เอนเอียงในคำพูด ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เข้าใจ แบบผิดๆ ตามๆ กันมา วิญญาณ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ วิญญาณ หรือ จิต เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง ไม่มีการล่องลอยแต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดดับสืบต่อกันในชีวิตประจำวัน ทุกขณะของชีวิต มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยปราศจากจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ขณะที่จิตเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือแม้กระทั่งขณะแรกของชีวิต ก็เป็นจิต ผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที (ปฏิสนธิจิต) แต่จะไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว แต่เกิดแน่นอน สังสารวัฏฏ์ก็ยังดำเนินต่อไป (มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไป) ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็ไม่เรียกว่าผี แต่ถ้าเป็นสัตว์ในภูมิอื่นกล่าวคือ เกิดเป็นเปรต เป็นต้น ก็อาจจะมีคำเรียกว่าผี ก็ได้ ซึ่งก็บัญญัติเรียกมาจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม ที่เป็นสัตว์ในภพภูมินั้นๆ ส่วนผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว (ตาย) ย่อมไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 7 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ