สนทนาธรรมที่ไต้หวัน [2] 5 วัน 4 คืนที่ซันมูนเลค
5 วัน 4 คืนที่ซันมูนเลค
คณะสนทนาธรรมพักที่โรงแรม Lealea Sun Hotel และ Full House Resort ที่อยู่ตรงข้ามกัน เพียงข้ามถนนแคบๆ ที่ไม่มีรถวิ่ง เกือบเหมือนอยู่โรงแรมเดียวกัน เพียงแต่ชื่อและจำนวนดาวต่างกัน และราคาก็ห่างกันครึ่งต่อครึ่ง เพราะโรงแรมหนึ่งเป็นตึกสูงมีลิฟต์ มองเห็นทะเลสาปซัน (ทะเลสาปมูนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ยังไม่เห็น)
อีกแห่งเป็นบ้านไม้สน 3 ชั้น ชึ้นลงกระได มีสวนเล็กๆ เจ้าของรีสอร์ทเป็นชายสูงอายุทำหน้าที่ทุกอย่าง (นานๆ จะเห็นผู้ช่วยผู้หญิง) พวกเราหลายคนเจริญกุศลด้วยการช่วยกันบริการกันเอง ที่นี่มีร้านอาหารอยู่ชั้นล่างสุด มีชื่อเสียงในการทำอาหารจากผลไม้ เช่น ผัดเผ็ดไก่กับแคนตาลูป (เป็นต้น เพิ่งชิมอย่างเดียว) และอาหารเช้าก็จะมีกีวีสีเขียวกับสีทองทุกวัน สดหวานหอมอร่อยจนต้องถามหาที่ขาย ทราบว่าสั่งมาเป็นกล่องจากไทเป
(ขอบคุณภาพถ่ายสวยๆ ของทะเลสาบ จากลูกสาว บ้านธัมมะเวียดนาม Than Tam)
ฝั่งที่เราพักเป็นส่วนตัวมาก บรรยายกาศเงียบสงบ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ถ้าต้องการความเจริญก็ข้ามเรือไปฝั่งตรงข้าม ที่เห็นตึกสูงๆ หลายแห่ง เดิมคุณวินเซ็นต์ให้พักฝั่งโน้น แต่พวกเราบ่นว่าแพงมาก เธอเลยข้ามมาฝั่งนี้ ถ้าต้องการจะข้ามไปหาความเจริญต้องเสียค่าเรือ 200 เหรียญ (1 เหรียญไต้หวันเกือบเท่าบาทไทย) เลยยังไม่ได้ข้าม มองจากฝั่งนี้แล้วจินตนาการเอา ประหยัดเงิน และอาจจะสวยกว่าที่เห็นจริงๆ ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม จะเห็นหรือไม่เห็นก็เพื่อลืมทั้งหมด จากไม่เห็น แล้วเห็น แล้วก็ไม่เห็นอีก ทุกขณะว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหลือเลย เดิมเคยคิดว่ายังเหลืออยู่ในความทรงจำ แต่จริงๆ แล้วแม้ความทรงจำก็ว่างเปล่าประดุจอากาศ แม้เป็นเพียงรู้ขั้นฟังก็ยังดีกว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย
ใกล้ๆ ที่พัก มีรถกระเช้าลอยฟ้าที่ไม่ได้ขึ้น เพราะวันที่จะขึ้นก็ปิดซ่อมบำรุง (ประหยัดเงินได้อีก) แต่ตอนเช้าๆ ได้เดินไปดูสถานีรถกระเช้าและขึ้นเขาไปนิดหน่อยตามอายุ อีกเช้าหนึ่งเดินตามทางที่เป็นสะพานไม้เลียบทะเลสาป ข้างหนึ่งเป็นป่าเฟิร์น มีต้นหอมหมื่นลี้ปลูกไว้เป็นแนว เริ่มออกดอกส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ข้างทางเห็นดอกมหาหงส์กอใหญ่ๆ สมบูรณ์มาก ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
แล้วยังเห็นดอกจิกสีชมพู่ สีขาว เป็นพู่สวยอ่อนหวาน ที่ปลูกไว้ริมทะเลสาป ขโมยกลิ่นดมก็ได้กลิ่นหอมเย็นๆ ทั้งสวยบอบบาง ทั้งหวาน ทั้งหอม น่าหลงไหลจริงๆ ทั้งหมดที่ได้บริโภคทางตา ทางจมูก ไม่ต้องเสียเงิน เพียงแต่ต้องจ่ายด้วยปลีแข้งไปเดินแสวงหาเอง (คล้ายกับบิณฑบาตเหมือนกัน เพราะเลือกไม่ได้ว่า จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร กระทบสัมผัสอะไร ทั้งหมดเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เหมาะสม แล้วก็ชอบไม่ชอบสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ตามการสะสม) แต่ต้องตื่นแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เพียงแต่ต้องจ่ายในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง
มาคราวนี้ไม่ได้ท่องเที่ยว เพราะผู้ติดตามมาด้วยป่วยตั้งแต่วันแรก เจ็บคอ เป็นหวัด เดินทางทุกครั้งเคยพกยาแก้อักเสบมา. แต่ไม่เคยใช้ เลยไม่ได้เอามา มาครั้งนี้จำเป็นต้องใช้ ไปหาซื้อไม่ได้ เพราะเป็นยาปฏิชีวนะ ต้องมีใบรับรองแพทย์ แม๊กกี้คนไต้หวันพาไปหาหมอ มีคนเจ็บคอหลายคน ไปพร้อมกัน แต่ทุกคนเลยเปลี่ยนใจ ไม่ยอมเสียค่าหมอ 2000 เหรียญ คุณหาย สาวเวียดนามนั่งเรือข้ามฟากไปซื้อยาแผนจีนมาฝาก และคุณน้อย พัฒน์นารี ที่ตามมาทีหล้งพร้อมกับคุณป๋อง ซื้อยาปฏิชีวนะและยาเขียวตราใบโพธิ์มาฝากจากเมืองไทย เพื่อนร่วมเดินทางให้ยาเขียวผสมน้ำร้อนดื่ม อาการดีขึ้นเรื่อยๆ พอได้ยา จึงทราบว่าคุณเอ็มมีแก้อักเสบติดมาด้วย แต่ไม่ได้ถามกัน กว่าจะได้กินยา ก็ผ่านไปหลายวัน เห็นกรรมและผลของกรรมที่จะต้องได้รับแล้วค่ะ ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน กุศลจิตของทุกท่านที่ต้องการช่วยเหลือก็ทำให้หายป่วยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ แผนการที่วาดหวังไว้กับคุณนิลพาว่าจะพาเราสองคนท่องเที่ยวซันมูนเลคให้ทั่ว กลายเป็นว่าเธอเป็นไกด์พาทุกคนเที่ยว ยกเว้นเราสองคน ความคาดหวังทำให้ผิดหวัง แต่เมื่อยังไม่รู้ก็ยังคาดหวังต่อไป แล้วก็สมหวัง ผิดหวังต่อไปอีกเช่นนี้ ตราบใดที่ยังไม่เริ่มรู้ว่า ความคาดหวัง สมหวัง ผิดหวัง ล้วนเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดแล้วดับทันที ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
เพราะไม่ได้ออกไปเที่ยวตามแผน จึงร่วมฟังการสนทนาธรรมทุกครั้ง และช่วยแปลบางตอนที่เข้าใจเป็นภาษาไทยบ้าง แต่ก็ยังมีอุปสรรคเกี่ยวกับไมโครโฟน แม้จะแปลทุกครั้ง แต่บางครั้งฟังไม่รู้เรื่อง เลยต้องทิ้งไป เสียดายเหมือนกัน พูดจนเจ็บคอแต่ใช้ไม่ได้ เสียดายก็เป็นธรรม แต่ยังไม่รู้ตรงขณะที่กำลังเสียดาย มารู้ตอนคิดนึกถึงความเสียดายที่ผ่านไปนานแล้ว ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งใกล้ขณะที่ปรากฏมากขึ้นเท่านั้น ก็ยังอีกนานแสนนาน แต่ก็ยังดีที่เริ่มเข้าใจหนทางเพิ่มขึ้น
ในการสนทนาธรรมกับคนมาใหม่ก็ต้องเริ่มต้นที่ธรรมคืออะไร แต่ธรรมก็ใหม่สำหรับทุกคนเสมอ เพราะเพียงจำได้ว่า ธรรมะคืออะไรแต่ยังไม่รู้ลักษณะจริงๆ ของธรรมะ จึงต้องฟังแล้วฟังอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก จนกว่าจะเข้าใจลักษณะจริงๆ ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดแล้วดับไปทันที จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเลย
มีวันหนึ่งคุณวินเซ็นต์ เชิญเจ้าสำนักชาวไต้หวันมีพร้อมลูกศิษย์ 5 คนมาร่วมสนทนาธรรมด้วย เธอบอกว่าถ้าน่าสนใจก็จะสนทนาทั้งวัน ถ้าไม่น่าสนใจก็เฉพาะช่วงเช้า เมื่อสนทนาก็ถามเรื่องปฏิจสมุปบาทเลย เริ่มด้วยอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร เกิดขึ้นมาเพราะความไม่รู้ แต่พอท่านอาจารย์ถามว่าอวิชชาไม่รู้อะไร ก็ตอบไปคนละทิศคนละทาง ถามเรื่องผัสสะ เรื่องอายตนะ ก็ตอบสับสนไปหมด ในที่สุดก็ร่วมสนทนาเฉพาะช่วงเช้า เพราะไม่ยอมรับคำอธิบายที่ไม่ตรงกับที่เคยรู้มาก่อน และมานะ ความสำคัญตนว่า เป็นเจ้าสำนัก แต่ก็ได้หัวข้อในการสนทนาต่อไป
สหายธรรมต่างชาติทั้งหมดสนทนาธรรมกันอย่างเข้มข้น ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร บางครั้งฝนตกหนักมากจนต้องตะโกนใส่ไมโครโฟนก็ยังสนทนากันต่อ ไม่มีใครย่อท้อ เพราะเห็นประโยชน์ของของความเข้าใจธรรมที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์
และวันที่ 7 กันยายน 2561 ก็มาถึง ต้องเดินทางไปไทเป หลังสนทนาธรรมในช่วงเช้าแล้ว ต้องลาจากซันมูนเลค ได้เห็นเพียงทะเลสาปสุริยันต์ ไม่ได้เห็นทะเลสาปจันทรา ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะเที่ยวดูชมให้ทั่ว ได้แต่เดินชมท่าเรือ และร้านค้าใกล้ๆ ทางเดินเลียบทะเลสาป ระหว่างนั่งรถไปไทเป พยายามหาดอกไม้สวยๆ วิวทิวทัศน์งามๆ เพราะจำได้ว่า เมื่อได้เห็นแล้วมีความสุขอย่างไร เวทนา ความรู้สึกเป็นสุข จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหาด้วยความจำว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสอะไรแล้วทำให้เป็นสุข เวทนาและสัญญาจึงเป็นขันธ์ในขันธ์ 5 ที่เป็นที่ยึดมั่นอย่างมั่นคงว่าเป็นเรา เป็นของเรา
ระหว่างทาง แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาหารที่มีชื่อ ประธานาธิบดีคนก่อนเคยมารับประทานถึง 14 ครั้ง เพราะติดใจเป็ดห่อไข่นึ่งเป็นออเดริฟ แต่อาหารอย่างอื่นก็อร่อยเหมือนกัน ราคาก็ไม่แพง คนละ 350 เหรียญ อีกกลุ่มไปทานอาหารพื้นเมืองตามสั่ง คนละประมาณ 100 เหรียญ เมื่อกลับมาพบกันต่างก็คุยทับกันว่า ของใครอร่อยกว่ากัน อาหารริมทางมีเศรษฐีของไต้หวันมากินหลายคน และอร่อยมากกว่า ลืมไปว่า รสอร่อยที่ว่านั้นปรากฏแล้วหมดไปนานแล้ว ที่พูดนั้นไม่ใช่ขณะที่ลิ้มรส แต่เป็นความคิดนึกต้วยความเป็นตัวตนว่า เป็นเราลิ้มรส และด้วยมานะว่า ของเราอร่อยกว่า ลืมไปสนิทว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
เดินทางถึงโรงแรมโฮวาร์ด ชานเมืองไทเป ตอนใกล้คำ่ที่ฝนกำลังตกพอดี ได้เห็นน้องซุง จันทนา ส่องแสงจินดา ที่เพิ่งเดินทางจากกรุงเทพคนเดียว มาคอยอยู่ก่อนแล้ว มาถึงภพใหม่คือไทเปแล้ว ใกล้ๆ โรงแรมเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน และสวนสาธารณะใหญ่ที่เป็นเซ็นทรัลปาร์คของไทเป คาดหวัง (อีกแล้ว) ว่าจะมีโอกาสไปเที่ยวชม ลืมอีกแล้วว่า ความคาดหวังเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ขอเชิญติดตามตอนที่ผ่านมาได้ที่นี่ ...
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์
กราบอนุโมทนากับพี่แดงที่มีภาพบรรยากาศและบรรรยายทริปธรรมะนี้ให้ได้จินตนาการไปด้วย
ฟังการถ่ายทอดสนทนาธรรมที่ไต้หวันแล้วอนุโมทนากับทุกท่าน โดยเฉพาะท่านอาจารย์ท่านมีความเมตตากรุณาสูงมากเหลือเกินที่จะให้ทุกคนเข้าใจธรรมะ มีการสื่อสารกันทั้งภาษาไทย จีน อังกฤษ
กราบขอบคุณและอนุโมทนากับทุกท่านที่มูลนิธิอีกครั้งค่ะ