ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [ครั้งที่ ๒๐] ตอน หวังดีเพื่อให้เขาถูกใจหรือเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ได้รับชมและฟังคลิปการสนทนาธรรมเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ซึ่งเผยแพร่โดย ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ในเฟซบุ๊ค เป็นกลุ่มที่มีผู้ติดตามถึงเกือบสามหมื่นคนในปัจจุบัน ไม่นับรวมถึงผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ได้รับรู้ความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงหนทางที่ถูกต้องไว้ อันจะเป็นหนทางไปสู่การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง ตามที่ทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร ได้ศึกษาและมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎกทั้งสามปิฎกด้วยความสอดคล้องต้องกัน และได้นำมาแสดงไว้ ซึ่งได้มีการแชร์ข้อมูลของพระธรรมในหนทางที่ถูกต้องดังกล่าวนี้ โดยสมาชิกที่มีราวสามหมื่นคนนั้น แพร่หลายไปสู่สาธารณชน ญาติสนิท มิตรสหาย ในวงกว้าง เป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจมากมายทั่วประเทศและทั่วโลก นับประมาณไม่ได้ ด้วยเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ทันสมัยและรวดเร็วยิ่ง ในปัจจุบัน ทั้งทราบว่า ในหลายหัวข้อ หลายกระทู้หรือหลายคลิป มีผู้สนใจเข้ามาชม มาศึกษานับแสนคน จากการที่ได้มีผู้แชร์ไปในโลกออนไลน์ ก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในภาวะวิกฤตของพระพุทธศาสนา ที่ผู้คนไม่ให้ความสนใจศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง แต่กลับให้ความเชื่อถือในคำสอนของครูอาจารย์ต่างๆ จนเกิดความเห็นที่ผิดเพี้ยนไปอย่างมากมาย ในปัจจุบัน
ทั้งได้ทราบจากผู้ที่เข้ามาแสดงความคิด ความเห็น หลังจากที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษา ได้อ่านข้อความที่ทางมูลนิธิฯได้เผยแพร่ หลายท่านกล่าวว่า ไม่เคยได้ยินได้ฟังเช่นนี้มาก่อน ทำให้มีความเข้าใจจริงๆ ว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร บุญคืออะไร ธรรมะที่ทรงตรัสรู้นั้นคืออะไร ประการที่สำคัญ ได้เข้าใจว่า พระคือใคร วัดคืออย่างไร พระธรรมวินัยคืออย่างไร ที่ทั้งผู้ที่จะบวช ผู้บวช และผู้ที่เรียกตนเองว่าชาวพุทธ ควรรู้ควรศึกษาให้เข้าใจ หาไม่แล้ว ก็จะเป็นผู้ที่ต้องการทำบุญ แต่ไม่รู้จักบุญ สูญเสียทรัพย์สินเงินทองเป็นอันมาก เพราะอยากได้บุญ ถ้าเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมถูกต้องก็จะทราบว่า ทรงแสดงบุญกิริยาวัตถุไว้ ๑๐ ประการ หาใช่การถวายทานแก่พระภิกษุแต่เพียงประการเดียวไม่ ทั้งเข้าใจผิดใหญ่หลวงถึงขนาดถวายเงินทองแก่ภิกษุ ทำให้พระท่านต้องอาบัติ ล่วงพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ อันจะเป็นเหตุให้พระภิกษุผู้มีอาบัติติดตัว มีทุคติ วินิบาต นรก เป็นที่หมายในชาติต่อไป ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง ต้องการบวชแต่ไม่รู้ว่าบวชคืออย่างไร ดังที่ท่านกล่าวว่า ชาวบ้านไม่รู้จักพระ พระก็ไม่รู้จักพระ การบวชโดยไม่รู้ ไม่ศึกษาและไม่ประพฤติ ปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย จึงเป็นภัยใหญ่หลวงแก่บุคคลนั้นเอง ทั้งเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอนที่ทรงแสดง หารู้ไม่ว่า ศาสนาคือคำสอน หากไม่มีผู้เข้าใจถูกต้องในคำสอน พระศาสนาก็ลบเลือน เสื่อมสูญ อันตรธานแล้วจากบุคคลนั้น หาใช่การบวชด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจพระธรรมคำสอน จะเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาอย่างที่เข้าใจกันไม่ วัดวาอารามอันเป็นที่อยู่ของผู้สงบจากกิเลสอกุศลทั้งหลาย เป็นที่ๆ ควรมายินดีในความรู้ ความเข้าใจพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับกลายเป็นตลาดนัด เป็นสถานที่จัดงานรื่นเริง มีมหรสพต่างๆ เป็นสถานที่ผลิตขนมปังขายโดยพระภิกษุ เป็นสถานที่ประดิษฐานรูปเคารพบูชานอกศาสนา ซึ่งมีการสร้างขึ้นอย่างใหญ่โต เชิญชวนให้มีการบริจาคทรัพย์สินเป็นอันมากเพื่อการจัดสร้าง เมื่อสร้างเสร็จ ก็เป็นที่ให้ชาวบ้านไปกราบไหว้ขอโน่น ขอนี่ ปราศจากซึ่งการแสดงพระธรรมวินัย และหนทางที่ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ซึ่งเป็นหนทางของการละ ไม่ใช่หนทางของการอยากได้ อยากมี อยากเป็น ขอนั่น ขอนี่ ซึ่งล้วนเป็นหนทางของโลภะ คือความติดข้อง ความต้องการ มิใช่เป็นหนทางเพื่อการขัดเกลา ละคลายกิเลส แต่ประการใดเลยทั้งสิ้น การกระทำต่างๆ ดังกล่าวนั้น เป็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา อย่างที่กล่าวกัน หรือเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา?
จึงไม่เป็นคำกล่าวที่ล่องลอย ปราศจากเหตุผลเลยว่า จากที่มีผู้กล่าวว่า ปัจจุบันพระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองนั้น ความจริงที่ถูกต้องก็คือ ปัจจุบันพระพุทธศาสนาในประเทศไทยและทั่วโลก ถึงความวิกฤตแล้วต่างหาก เพราะนอกจากที่กล่าวแล้วข้างต้น ยังมีความเข้าใจผิดเรื่องการปฏิบัติธรรม การตั้งสำนักปฏิบัติ การสอนให้ทำสมาธิ สอนให้เดินจงกรม ด้วยคิดว่า เมื่อศึกษาพระธรรม ก็ต้องปฏิบัติด้วย ไม่เข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ว่า ธรรมทั้งหลาย (หมายความว่าทั้งหมด ทั้งปวงไม่เว้น) เป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป การปฏิบัติที่แท้จริง จึงเป็นเรื่องของธรรม เป็นเรื่องของปัญญาที่เกิดขึ้นปฏิบัติกิจของปัญญาโดยความเป็นอนัตตา จากการที่ได้อบรมเจริญความเข้าใจความจริงที่ทรงแสดง จนมีความรอบรู้ มั่นคงในปริยัติ คือรอบรู้ในความเข้าใจธรรมะ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ใช่การไปปฏิบัติด้วยความเป็นเรา ที่ไปนั่งจดจ้อง ต้องการ คิดธรรมเอาเอง ซึ่งไม่ใช่หนทางที่ทรงแสดง แต่เป็นหนทางของความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ ซึ่งไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
ขออภัยที่เกริ่นนำเสียยืดยาว (แม้กระนั้น ก็ยังไม่สามารถอธิบายความเสื่อม ความวิกฤตของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันได้ครบถ้วน ทุกท่านต้องช่วยเหลือตนเอง ในการพิจารณา แสวงหาความจริงที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ คือ ความเห็นถูก เข้าใจถูกต้องในหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง หาไม่แล้ว ความเห็นผิดที่มีได้ง่ายอย่างยิ่งนั้น ย่อมเป็นโทษภัยที่ร้ายแรงยิ่งแก่หนทางในสังสารวัฏฏ์ของตน ของตน นั้นเอง หาใช่ความรับผิดชอบของใครเลยไม่)
จากการได้ชมและฟังการสนทนาในคลิปการสนทนาระหว่างสามเณรรูปหนึ่งกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาดังได้กล่าวแล้วนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปีติ ซาบซึ้งใจ ในคำกล่าวของท่านอาจารย์ที่เปี่ยมด้วยเมตตา ต่อการที่สามเณรรูปดังกล่าว กล่าวคำอนุโมทนาและแสดงความห่วงใยในการแสดงพระธรรมวินัยของท่านอาจารย์ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวตอบด้วยความไพเราะ ลึกซึ้ง เป็นที่ซาบซึ้งในหทัย แก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังโดยทั่วกันในวันนั้นอย่างยิ่ง ดังต่อไปนี้
ท่านอาจารย์ ต้องขอกราบอนุโมทนาในความหวังดีของพระคุณเจ้า แต่ว่า ความหวังดีของดิฉัน ก็คือว่า ไม่ใช่เพียงหวังดีชั่วคราว ให้เขาเข้าใจเล็กน้อย แต่ว่า เพื่อให้เขาเข้าใจถูกต้อง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปัญญา ไม่หวั่นไหว แล้วก็ไม่กลัวอะไรด้วยเจ้าค่ะ เพราะเหตุว่า สิ่งที่ควรกลัว ไม่ควรทำ คือ อกุศล แต่ถ้าสิ่งใดเป็นประโยชน์ ความหวังดีไม่ใช่เป็นความหวังดีชั่วคราว เพียงแต่ว่าให้คนไม่ด่า แต่หวังดีให้เขาเข้าใจธรรมะ!! ถึงเขาจะด่า ถึงเขาจะว่า แต่ว่า ไม่สามารถที่จะทำให้ความหวังดีที่จะให้เขาได้เข้าใจความจริงถูกลบล้างไปหรือว่าท้อถอย
เพราะฉะนั้น ก็จะทำอย่างที่ทำ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ว่าพระพุทธศาสนาเพียงแต่ให้คนได้เข้าใจเพียงเล็กน้อย ครึ่งๆ กลางๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ที่พระคุณเจ้ากล่าวว่า ร้อยเปอร์เซนต์ หมายความว่า ครบถ้วน ถึงที่สุด!!! ไม่มีการที่จะแสดงเพียงครึ่งเดียว หรือว่าส่วนย่อย เพื่อหวังให้คนถูกใจ แต่ว่า ไม่ได้เข้าใจความจริง!!!
ถ้าเขาสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ถูกต้อง ครบถ้วน นั่นเป็นประโยชน์สูงสุดเจ้าค่ะ เพราะเหตุว่า ถ้าคิดว่าเข้าใจเล็กน้อย นั่นคือ ไม่เข้าใจ!!!
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องคิดว่า ใครจะด่า หรือว่า ใครจะว่า ใครจะไม่พอใจ แต่ถ้าเขาเข้าใจในความหวังดี ว่า ทุกคำที่พูด เพื่อประโยชน์ทั้งหมด!! และ ไม่ได้พูดคำที่นอกจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมดด้วยเจ้าค่ะ ก็คงจะทำอย่างนี้ต่อไป
กราบเท้าท่านอาจารย์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพด้วยเกล้า ท่านคือสตรีที่น่าอ้ศจรรย์ อาจหาญและตรงในธรรมเป็นที่สุด
กราบอนุโมทนาในธรรมที่ท่านแสดง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจืนต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา คุณวันชัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัยค่ะ
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่ทำให้พวกเราได้รู้พระธรรมจริงที่พระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าพระโคดมได้แสดงไว้ให้แก่เวไนยสัตว์ ขอให้กุศลที่ท่านอาจารย์ได้ให้ธรรมะเป็นทานแก่พวกเราส่งผลให้ท่านอาจารย์เข้าถึงมรรคผลนิพพานไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไปค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญในกุศลอันยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ด้วยนะคะ
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [ครั้งที่ ๒๒] ตอน มานมัสการสังเวชนียสถานทำไม?
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา ๓๐ เมษายน - ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร [วิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ] ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [ครั้งที่ ๒๑] ตอน เป็นผู้รู้มาก แต่เข้าใจหรือเปล่า?