ใครจะอย่างไรไม่หวั่นไหว ดูที่ภายใน ใช่ภายนอก
ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนว่าใครจะคิดยังไงถ้าเรามีความพอใจ เราไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น ไม่ได้ไปว่ากล่าวใคร ไม่ได้ไปอิจฉาริษยาใคร แต่ทำกุศลมากๆ ทุกอย่างที่จะเป็นไปได้ คนอื่นก็จะต้องชื่นชมในสิ่งที่เป็นความดี และสิ่งภายนอกก็เป็นภายนอกจริงๆ ภายนอกจะปิดบังยังไงก็ตาม ไม่สามารถที่จะบังจนไม่เห็นจิตใจที่แท้จริงได้ ถ้ามีการกระทำออกมาทางกาย ทางวาจา เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีกุศลจิตเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าชาวโลกจะกล่าวยังไงก็ตาม กุศลจิตก็ยังเป็นกุศลจิต มีความพอใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พร้อมกันนั้นก็ให้ทรัพย์สมบัตินั้นเป็นประโยชน์กับผู้อื่นด้วย ก็เป็นที่น่าอนุโมทนา ไม่เห็นจะมีใครว่าอะไร ถ้าใครจะว่าอะไร เพราะเหตุว่า คนนั้นเห็นผิด เข้าใจผิดเท่านั้นเอง ถ้าคนเขลาติเตียน จะหวั่นไหวไหม แต่ถ้าบัณฑิตติเตียน จะหวั่นไหวไหม
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตและกราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งค่ะ
เป็นคำจริง ชัดเจน เข้าใจได้ง่าย กราบแทบเท้าอนุโมทนา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตน์
ถ้าเรายังไม่เป็นบัณฑิต จะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนเขลา ใครเป็นบัณฑิตคะ
พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ดีแล้ว ย่อมช่วยให้เข้าใจถูกว่า คนใดเป็นพาล คนใดเป็นบัณฑิต
เชิญคลิกอ่านที่นี่