จะเป็นคนนี้ที่ดี หรือว่า จะเป็นคนนี้ที่ไม่รู้เหมือนเดิม?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันพุธที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๑
~ ไม่มีอะไรที่ยังเหลืออยู่เลย เมื่อวานนี้หมดแล้ว เมื่อเช้านี้หมดแล้ว เมื่อกี้นี้หมดแล้ว ขณะนี้กำลังหมด จนกว่าจะถึงขณะต่อๆ ไปที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เท่านั้นเอง ชีวิต ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย มีแต่สิ่งที่กำลังมี เพราะเกิด แล้วก็ดับ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงเพราะเกิด ซึ่งไม่มีใครไปทำให้เกิด เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
~ เมื่อถึงคราวที่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ก็ต้องจากโลกนี้ไป มีใครบ้างที่ไม่จากโลกนี้ไป? ต้องจากแน่นอน แต่ก่อนจาก ได้ฟังคำที่ไม่เคยได้ยินมา เป็นปาฏิหาริย์ทำให้มีความเข้าใจถูกต้องแม้เพียงขั้นการฟัง ซึ่งจะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนกระทั่งเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษา ทุกคำ ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด
~ ผู้ฟัง คือ สาวก สาวกของใคร? สาวก ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังคำของใคร? ฟังคำของพระองค์ เพื่ออะไร? เพื่อเข้าใจสิ่งที่มี รู้ว่าสามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ มิฉะนั้น พระองค์ไม่ทรงแสดง
~ ปีติ (เอิบอิ่มใจ) ที่ได้ฟังคำจริง ถ้าได้ฟังพระธรรมต่อไป เข้าใจอีก ความปีติที่ได้ยินได้ฟังก่อนที่จะจากโลกนี้ไปก็ต้องเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ฟังพระธรรม นำมาซึ่งสิ่งซึ่งประมาณค่ามิได้ เพราะเหตุว่า คำของพระสัมมาสัมพระเจ้าทุกคำ ประมาณค่ามิได้ เงินซื้อไม่ได้ แต่ต้องอาศัยการเห็นประโยชน์ ขณะใดที่มีจิตผ่องใสปราศจากโลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ ขุ่นเคืองใจ) โมหะ (ความหลง ความไม่รู้) แล้วรู้ว่าการได้ยินได้ฟังสิ่งที่มีจริงสามารถที่จะทำให้มีความเห็นที่ถูกต้องซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ขณะนั้นก็ปีติ เพราะฉะนั้น การที่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ ขณะนั้นมีปีติ จะมากหรือจะน้อย ก็ต้องแล้วแต่ความเข้าใจ
~ จิตเป็นสภาพรู้ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ก็เป็นสภาพรู้ แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เกิดพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน ดับพร้อมกันด้วย
~ ความเข้าใจ เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น จึงสามารถที่จะดับการที่เคยยึดถือ ว่า สภาพธรรม เป็นเรา ซึ่งไม่ง่ายเลย
~ ไม่มีอะไรมีค่าประเสริฐเท่ากับความเข้าใจธรรม
~ จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ ก็ทำหน้าที่ได้ขณะเดียวในชาตินี้แล้วก็จะไม่กระทำอีก แต่ว่าเป็นหน้าที่ของจิตต่อไปที่จะทำกิจเกิดเป็นบุคคลใหม่ โดยเลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความตาย ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวเลย ปกติอย่างนี้เลย เพราะว่าจิตขณะนี้ก็ดับไปแล้วนับไม่ถ้วน แค่ ๒ ขณะที่เกิดดับติดกัน (จุติจิต กับ ปฏิสนธิจิต) ใครจะรู้ เพราะฉะนั้น จากโลกนี้ ทันที ก็เกิดทันที แล้วก็ลืมโลกนี้ทันที เป็นบุคคลใหม่
~ เกิดมา ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) ถ้าศึกษาต่อไปก็จะรู้ว่า ทั้งจิต เจตสิกและรูป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยสักขณะเดียว ขณะต่อไปใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิด ไม่มีใครรู้เลย
~ เต็มไปด้วยความรู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนทุกชาติ แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจ ก็จะรู้ความจริง ซึ่งทำให้ต่อไปก็จะเป็นผู้ที่รู้ว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรม
~ ถ้าจะให้ใครได้เข้าใจธรรม อันนั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดในชีวิต เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีใครที่จะอนุเคราะห์คนอื่นระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่หรือก่อนจะตายก็ตาม ให้เขาได้เข้าใจธรรมจะด้วยทางใดทางหนึ่งทางใดก็ได้ ย่อมเป็นประโยชน์ที่สุด ด้วยเหตุนี้ การที่จะให้ประโยชน์กับบุคคลอื่น ไม่มีอะไรดีเท่ากับทำให้เขาได้เข้าใจธรรม
~ การมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ ก็คือ ขณะที่ได้เข้าใจธรรม และความเข้าใจ ก็จะติดตามสืบต่อไป
~ วัดคือที่อยู่ของผู้สงบ เพราะฉะนั้น จะไปมีอย่างอื่นที่จะทำให้ไม่สงบ ไม่ได้เลย ไม่สมควรเลย เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้ที่มีศรัทธา บวช เพื่อศึกษาธรรม เพื่ออะไร? เพื่อละลายขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น วัดต้องเป็นที่สงบ ถ้าจะกล่าวว่าเป็นศูนย์กลาง ก็ต้องเป็นศูนย์กลางของความเข้าใจถูกที่สงบจากกิเลส จะเป็นอื่นไปไม่ได้
~ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิด ต้องมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น ฟังธรรมแล้วก็เข้าใจว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ว่าจะเป็นธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ก็ต้องอาศัยปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีปัจจัยพร้อมที่จะเกิด สิ่งนั้นเกิดไม่ได้
~ เราเกิดมาแล้ว จำไหวไหมแต่ละชาติว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง ไม่หวาดไม่ไหวเลยในแสนโกฏิกัปป์ เคยเป็นอะไรมา เคยจากโลกนั้นไปในลักษณะใด มีพี่น้องกี่คน เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แล้วก็จะต้องเป็นอย่างนี้ แต่ว่าจำได้เพียงชาตินี้ อีกไม่นานก็ลืม เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด คือ ที่จำผิดไว้ว่าเป็นเรา ควรที่จะให้น้อยลงหรือว่าควรจะให้หมดไปไหม เพราะความจริง คือ ไม่มีเรา
~ สัจจธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่ายากที่ใครจะรู้ได้ แต่ก็สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา อันนี้ก็จะเริ่มเห็นว่า แล้วจะเกิดมาทำไม ก็ไม่ใช่เราสักชาติ หมดไปทุกชาติ จะจำได้ก็เพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนก็จำไม่ได้ พอถึงชาติหน้าก็เริ่มจำอีกแล้วก็จากไปอีกหมดไปอีก แล้วจะมีอะไร ทุกชาติก็เป็นอย่างนี้
~ ถ้าได้เข้าใจความจริงว่าไม่มีเรา ซึ่งเป็นความจริง ก็จะทำให้ละความที่ยึดถือในความเป็นเราจนกระทั่งเป็นความเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่สิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนอื่น เพราะฉะนั้น พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้เริ่มรู้ความจริง ว่า เกิดมาในโลกชั่วคราว แล้วเป็นคนนี้ได้ชาติเดียว จะเป็นคนนี้ที่ดี หรือว่า จะเป็นคนนี้ที่ไม่รู้เหมือนเดิม แล้วก็ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราไปอีก เพิ่มเติมอีก พอกพูนอีก จนยากที่จะละได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนที่ได้ฟังธรรม ก็จะรู้ประโยชน์อย่างยิ่ง ว่า ถ้าไม่รู้ตราบใด ก็ไม่สามารถที่จะละสุขทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ได้
~ โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ง่าย เพราะฉะนั้น ใครที่ได้ฟัง ให้ทราบว่ามีปัจจัยที่ได้สะสมมาที่จะได้ฟัง ซึ่งเราจะเห็นความเป็นอนัตตาทั้งหมดเลยถ้าเราพิจารณาไตร่ตรอง ห้ามใครไม่ให้ทำอะไรก็ไม่ได้ ชักชวนใครให้ทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่า แม้แต่ขณะนี้ ก็ยังต้องแล้วแต่เหตุปัจจัยว่าจะเกิดอะไร จะคิดอะไร จะทำอะไรทั้งหมด ทั้งหมดส่องถึงความเป็นจริงของธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา แต่เพราะปัญญาไม่พอ ทั้งๆ ที่เป็นอนัตตาตลอดเวลาทุกขณะ แต่อวิชชาก็ไม่สามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น และความเข้าใจ นั้น ก็คือ ปัญญา จะเร่งให้เกิดปัญญาเร็วๆ มากๆ ได้ไหม? ไม่มีทางเลย นั่นคือ ผิด เพราะมีความเป็นเรา เพราะฉะนั้น ความไม่รู้และความเป็นเรามากมายในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาที่สะสมจนกระทั่งรู้ว่าหนทางเดียว คือ ถ้าไม่เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะมีความเป็นเราต่อไป เพราะฉะนั้น หนทางเดียว คือ เข้าใจธรรม แล้วปัญญาที่เข้าใจ ก็ทำหน้าที่ของปัญญา
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่เพียงแค่คำเดียว ไม่ใช่เพียงแค่ปีเดียว ไม่ใช่เพียงแค่พระสูตรเดียว แต่ทรงแสดงมากมาย เพื่อประกอบกันให้พิจารณาแล้วพิจารณาอีกสอดคล้องกันทั้งหมด ว่า เป็นธรรม ซึ่งวันหนึ่งจากการฟังวันนี้ ก็จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
~ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พึ่งด้วยการศึกษา เพื่อที่จะให้ปัญญาความเห็นที่ถูกต้องเกิดขึ้น จึงสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงว่า ธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่ว่ามีจริงๆ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และกราบอนุโมทนาด้วยความเคารพยิ่ง