ทุติยโอวาทสูตร ... วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑
เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.จาก ...
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒๖ หน้าที่ ๕๗๓-๕๗๖
ทุติยโอวาทสูตร
(ว่าด้วยการให้โอวาทภิกษุทั้งหลาย)
[๔๘๙] พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ดูกร กัสสปะ เธอจงกล่าวสอนภิกษุทั้งหลาย จงกระทำธรรมีกถา แก่ภิกษุทั้งหลาย เราหรือเธอพึงกล่าวสอนภิกษุทั้งหลาย เราหรือเธอพึงกระทำ ธรรมีกถาแก่ภิกษุทั้งหลาย
[๔๙๐] ท่านพระมหากัสสปะ กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลาย ในบัดนี้ เป็นผู้ว่ายาก ประกอบด้วยธรรมที่ทำให้เป็นผู้ว่ายาก ไม่อดทน ไม่รับอนุศาสนีโดยเคารพ บุคคลบางคนไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีความเพียร ไม่มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเจริญไม่ได้เลย เปรียบเหมือนพระจันทร์ในข้างแรม ย่อมเสื่อมจากวรรณะ จากมณฑล จากรัศมี จากความยาวและความกว้าง ในคืนหรือวันที่ผ่านมา ฉันใด บุคคลบางคนไม่มีศรัทธา... ไม่มีหิริ... ไม่มีโอตตัปปะ... ไม่มีความเพียร...ไม่มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเจริญไม่ได้เลย เหมือนฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มีศรัทธานี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มีหิรินี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มีโอตตัปปะนี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลเป็นคนเกียจคร้านนี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลมีปัญญาทรามนี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลมักโกรธนี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลผูกโกรธนี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่ไม่มีภิกษุผู้กล่าวสอนนี้ เป็นความเสื่อม
[๔๙๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลบางคน มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีความเพียร มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเสื่อมไม่ได้เลย เปรียบเหมือนพระจันทร์ในข้างขึ้น ย่อมเปล่งปลั่งด้วยวรรณะ ด้วยมณฑล ด้วยรัศมี ด้วยความยาวและความกว้าง ในคืนหรือวันที่ผ่านมา ฉันใด บุคคลบางคน มีศรัทธา... มีหิริ... มีโอตตัปปะ... มีความเพียร ... มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเสื่อมไม่ได้เลย เหมือนฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่บุรุษบุคคลมีศรัทธานี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลมีหิรินี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลมีโอตตัปปะนี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลมีความเพียรนี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลมีปัญญานี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มักโกรธนี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลไม่ผูกโกรธนี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่มีภิกษุผู้กล่าวสอนนี้ ไม่เป็นความเสื่อม
[๔๙๒] พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดีแล้ว ดีแล้ว กัสสปะ บุคคลบางคนไม่มีศรัทธา... ไม่มีหิริ ...ไม่มีโอตตัปปะ... ไม่มีความเพียร... ไม่มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเจริญไม่ได้เลย เปรียบเหมือนพระจันทร์ในข้างแรม ย่อมเสื่อมจากวรรณะ จากมณฑล จากรัศมี จากความยาวและความกว้าง ในคืนหรือวันที่ผ่านมา ฉันใด บุคคลบางคน ไม่มีศรัทธา... ไม่มีหิริ... ไม่มีโอตตัปปะ... ไม่มีความเพียร... ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเจริญไม่ได้เลย เหมือนฉะนั้น ดูกร กัสสปะ ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มีศรัทธานี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มีหิริ... ข้อที่บุรุษบุคคลผู้ไม่มีโอตตัปปะ... ข้อที่บุรุษบุคคลเป็นคนเกียจคร้าน... ข้อที่บุรุษบุคคลมีปัญญาทราม ... ข้อที่บุรุษบุคคลมักโกรธ... ข้อที่บุรุษบุคคลผูกโกรธ นี้ เป็นความเสื่อม ข้อที่ไม่มีภิกษุผู้กล่าวสอนนี้ เป็นความเสื่อม.
[๔๙๓] ดูกร กัสสปะ บุคคลบางคนมีศรัทธา... มีหิริ... มีโอตตัปปะ... มีความเพียร... มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเสื่อมไม่ได้เลย เปรียบเหมือนพระจันทร์ในข้างขึ้น ย่อมเปล่งปลั่งด้วยวรรณะ ด้วยมณฑล ด้วยรัศมี ด้วยความยาวและความกว้างในคืนหรือวันที่ผ่านมา ฉันใด บุคคลบางคน มีศรัทธา... มีหิริ... มีโอตตัปปะ... มีความเพียร... มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเสื่อมไม่ได้เลย เหมือนฉะนั้น ดูกร กัสสปะ ข้อที่บุรุษบุคคลมีศรัทธานี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่บุรุษบุคคลมีหิริ... ข้อที่บุรุษบุคคลมีโอตตัปปะ ... ข้อที่บุรุษบุคคลมีความเพียร... ข้อที่บุรุษบุคคลมีปัญญา... ข้อที่บุรุษบุคคลเป็นคนไม่มักโกรธ... ข้อที่บุรุษบุคคลเป็นคนไม่ผูกโกรธนี้ ไม่เป็นความเสื่อม ข้อที่มีภิกษุผู้กล่าวสอน นี้ ไม่เป็นความเสื่อม ดังนี้
จบทุติยโอวาทสูตรที่ ๗
อรรถกถาทุติยโอวาทสูตรที่ ๗
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยโอวาทสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ .-
บทว่า สทฺธา ได้แก่ ศรัทธาที่มั่นคง
บทว่า วิริยํ ได้แก่ความเพียรทางกายและทางจิต
บทว่า ปญฺญา ได้แก่ ปัญญารู้กุศลธรรม
บทว่า น สนฺติ ภิกฺขู โอวาทกา ท่านพระกัสสปะ แสดงว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนี้ว่า บุคคลนี้ไม่มีภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตร ผู้โอวาทพร่ำสอน ดังนี้ เป็นความเสื่อม
จบอรรถกถาทุติยโอวาทสูตรที่ ๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
ทุติยโอวาทสูตร
(ว่าด้วยการให้โอวาทพระภิกษุทั้งหลาย)
เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน พระองค์ตรัสกับท่านพระมหากัสสปะ ว่า เราหรือเธอ ควรกล่าวสอนภิกษุทั้งหลาย ท่านพระมหากัสสปะ กราบทูลว่า ในบัดนี้ ภิกษุทั้งหลาย เป็นผู้ว่ายาก ไม่อดทน ไม่รับคำพร่ำสอนโดยเคารพ ผู้ที่ไม่มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาในกุศลธรรม ย่อมมีแต่ความเสื่อม หาความเจริญมิได้ เปรียบเหมือนพระจันทร์ในข้างแรม ที่เสื่อมจากรัศมี ไม่มีความสว่างไสว การไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ มีความเกียจคร้าน ไม่มีปัญญา มักโกรธ ผูกโกรธ และ การไม่มีผู้โอวาทพร่ำสอน นี้ เป็นความเสื่อม ส่วนผู้ที่มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาในกุศลธรรม ย่อมมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อม เปรียบเหมือนกับพระจันทร์ในข้างขึ้น ที่เต็มไปด้วยรัศมีความสว่างไสว การมีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ไม่มักโกรธ ไม่ผูกโกรธ และการมีผู้โอวาทพร่ำสอน นี้ ไม่เป็นความเสื่อม เมื่อท่านพระมหากัสสปะ กราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงชื่นชมว่าดีแล้ว พร้อมทั้งได้ทรงแสดงธรรมอย่างนั้นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง.
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ข้างขึ้น - ข้างแรม
ผู้ว่ายาก กับ ผู้ว่าง่าย ๑ [อรรถกถา เมตตสูตร]
หิริ โอตตัปปะ ละอายและรังเกียจ ในอวิชชา
ความเสื่อมและความเจริญของปัญญา
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...