ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๓
~ คำที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ด้วย ถ้าไม่รู้ประโยชน์ของการเข้าใจสิ่งที่มีจริง ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ไกล แต่เป็นคำสอนที่ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
~ ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้ก็มีเห็น เดี๋ยวนี้ก็มีได้ยิน ทั้งหมดคือธรรม ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราก็ต้องฟังต่อไปอีก เพราะไม่เคยรู้ความจริงของธรรมซึ่งเกิดแล้วดับปรากฏสืบต่อจนปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อยู่ตลอดเวลา
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องทำ ไม่ต้องทำ เพราะอะไร? เพราะมีแล้วเดี๋ยวนี้โดยไม่มีใครไปทำ ต้องมีความมั่นคงว่าธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นไปแล้วก็ดับไป ธรรมเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเท่านั้นเอง เพราะว่าปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่มีใครทำหน้าที่ของปัญญาได้
~ เกิดแล้วต้องจากโลกนี้ไป ต้องตาย (เมื่อเกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดนึก มีสุข มีทุกข์แล้วก็หมดไป หมดไปไม่เหลือเลย) ตาย ก็คือ จากทุกสิ่งทุกอย่าง
~ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดขึ้น นั้น เกิดขึ้นเองตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยปัจจัย อย่างเช่น เห็นต้องอาศัยตา ต้องอาศัยสิ่งที่กระทบตา
~ มีสังขารธรรม (สิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะปัจจัย) ตลอดเวลา ไม่เคยขาดเลย มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น มีสังขารธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตลอดเวลา
~ ไม่ประมาทที่เห็นประโยชน์ที่จะฟังธรรม เมื่อฟังแล้วก็ยังไม่ประมาทที่จะเข้าใจไตร่ตรองให้ถูกต้องตามเหตุตามผล
~ ฟังธรรม เพราะรู้ว่า ความไม่รู้มีมาก ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ความไม่รู้ ก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น แล้วจะอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์อีกนานสักเท่าไหร่?
~ "ไปสำนักปฏิบัติ นั่ง ยืน เดิน ทำนั่น ทำนี่ แล้วจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏได้อย่างไร" การที่กล่าวให้ได้เข้าใจความจริง เป็นการอนุเคราะห์ให้ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ไตร่ตรองว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้ไม่หลงผิด
~ เห็นยังทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ แล้วจะไปทำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร (แต่ปัญญาเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยเหตุ คือ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาจากคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง)
~ แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส นำไปสู่ความเข้าใจในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม คือ เป็นธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ เมื่อถึงคราวที่จุติจิตจะเกิดขึ้นเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ (ตาย) ก็เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มีเงินทองมากมายมหาศาล หรือจะมีแพทย์สักกี่คน ก็ไม่สามารถทำให้ไม่ตายได้ และเมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้แล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีกเลย
~ ฟังธรรม เพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเรา, เพราะไม่รู้ จึงยึดถือว่ามีเรา แต่พอได้รู้แล้วก็ค่อยๆ ละความไม่รู้
~ ฟังธรรมแล้วเข้าใจว่า ทุกอย่างที่มีจริงๆ นั้น ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้ (เพราะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย) เป็นบันไดก้าวแรกที่มั่นคง ที่จะไม่ไปในทางผิด
~ ถ้าฟังธรรมเข้าใจแล้ว จะมีสำนักปฎิบัติไหม? (ไม่มี) เพราะฉะนั้น สำนักปฎิบัติ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปิดกั้นหนทางที่ถูกที่สัตว์โลกมีโอกาสที่จะได้เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญารู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
~ ถ้าพูดถึงชีวิตธรรมดา วิถีจิต (จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในการรู้อารมณ์) กับ ภวังคจิต (จิตที่ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้) ก็คือ หลับแล้วก็ตื่น ตื่นขึ้นมา ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรสฯ ลฯ แล้วก็หลับ แล้วก็ตื่น แล้วก็มีเรื่องมากมาย แต่พอหลับ หายไปไหนหมด (ขณะที่หลับ โลกนี้ไม่ปรากฏ)
~ ธรรม ใครๆ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เช่น แข็งมีแล้วจะไม่ให้เกิดได้อย่างไร จะไม่ให้มีแข็งได้อย่างไร ฉันใด จิตเกิดแล้ว เห็นแล้ว จะไม่ให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร นี้ก็คือเป็นธรรม แต่ละหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์ ใช่ไหม? อยู่มานานแล้วยังจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เมื่อหมดความเป็นบุคคลนี้ ชาติหน้าเกิดเป็นคนใหม่ ก็หมดอีก ชาติก่อนเป็นใครก็หมดแล้ว ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น มี เพื่อหมด ชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะเป็นคนดีขึ้นไหม จะไปทำชั่วทำไมในเมื่อความชั่วเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลชั่วที่จะได้รับ (ในภายหน้า)
~ การเข้าใจธรรม เป็นการบูชาสูงสุด ที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สืบทอดต่อไปได้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
~ ไม่มีใครสามารถที่จะห้ามไม่ให้สภาพธรรมเกิดได้เลย ไม่ว่าสภาพธรรมนั้นจะเป็นสภาพธรรมอะไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ เว้น ไม่กระทำบาปในขณะที่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหมด เว้นจากบาป
~ ปกติในชีวิตประจำวัน ก็เป็นอกุศล แต่เว้นบาป เมื่อกุศลจิตเกิด เพราะฉะนั้น ขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นไม่ได้เว้นบาป เพราะว่า อกุศลก็ยังเกิด ด้วยเหตุนี้ประมาทอกุศลไม่ได้เลย สะสมมามาก ก็ต้องเป็นไปตามการสะสม จนกว่ากุศลจะเกิดแม้เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ทำความดีให้ถึงพร้อม ประมาทได้ไหม? แม้กุศลเล็กน้อยขณะนั้นเกิดแล้ว อกุศลไม่เกิด ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นประโยชน์ ของกุศลธรรม จึงไม่ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ แต่ถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เรา
~ การที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความเศร้าหมอง คือ กิเลสทั้งหลายได้ ก็มีหนทางเดียว คือ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ คำพูดที่ทุกคนพูดเสมอคือ " ไม่ทำชั่ว " แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ไม่ทำ หมายความว่า ไม่ใช่เราที่ไม่ทำ (แต่เป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้น ไม่ทำชั่ว) เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์ จะต้องมีความจริงที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจว่าต่างจากคำของคนอื่น
~ เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจากโลกนี้ไป อะไรก็ไม่สามารถจะติดตามไปได้เลย ทรัพย์สมบัติหรือว่าร่างกาย ก็ไปไม่ได้ แต่ว่า ความเข้าใจถูกความเห็นถูก ที่ค่อยๆ สะสมโดยความไม่ประมาท จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
~ มีศรัทธา มีความจริงใจที่จะเห็นคุณประโยชน์ของการเข้าใจความจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี (ความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงธรรมซึ่งทำให้สัตว์โลก ได้พ้นจากความเห็นผิดและได้เกิดความเห็นถูกจนสามารถที่จะดับกิเลสได้ มากเพียงใด และจะเป็นไปต่อไปได้ ถ้าไม่ละเลยคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะทำให้สิ่งซึ่งเคยเข้าใจผิด ได้เข้าใจถูก เมื่อเป็นผู้ที่พิจารณาไตร่ตรองและเป็นผู้ที่ละเอียด
~ เมื่อไม่มีความรู้ อกุศล ความไม่รู้ มากไหม? มาก, นำมาซึ่งความติดข้องมากไหม? มาก, เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่อยากให้เป็น โทสะกิเลส ก็เกิดขึ้น มีการประทุษร้ายด้วยโทสะ มาจากไหน? แต่ถ้ามีความรู้ จะละเว้นไหม? ช่วยโลกหรือเปล่า? การทุจริตต่างๆ มาจากไหน มาจากความไม่รู้ มาจากความคิดว่ามีเรา เพราะฉะนั้น ก็มีแต่ความอยากได้ เท่าไหร่ไม่พอ สามารถที่จะเบียดเบียนคนอื่น ประทุษร้ายคนอื่นได้แม้คนยากไร้ นั่น มาจากความไม่รู้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว บาปกรรมทั้งหลายที่มี ก็จะลดน้อยลง ตามระดับขั้นของความเข้าใจตามเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น โลกจะสงบกว่านี้ไหม ไม่มีการฆ่า ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีการทุจริตต่างๆ
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ การที่สามารถรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพราะเหตุว่า คำของพระองค์จะดำรงต่อไป ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เข้าใจถูก ถ้าผู้ใดก็ตามไม่เข้าใจธรรมพูดไม่จริง คำไม่จริง ไม่ตรงตามความเป็นจริง คำนั้นทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ แม้แต่ความอดทน (ต่อการ) ที่จะได้ฟังคำที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามอำนาจบังคับบัญชาที่อยากจะให้มี แต่ความมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) ค่อยๆ มั่นคงขึ้น แล้วก็จะรู้ว่า ถ้าโกรธ ขณะนั้น ก็ไม่อดทน แต่ถ้าปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ขณะนั้น เป็นความอดทนที่ประเสริฐที่สุด
~ สังขาร (ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย) ก็คือ ขณะนี้
~ กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) มีเมื่อไหร่ เดือดร้อนเมื่อนั้น กิเลสนั่นเองทำร้ายให้เดือดร้อน
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ทุกกาล
~ การสนทนาธรรม เป็นมงคล นำความเจริญ นำความเห็นถูก นำสภาพธรรมที่ดีงาม มาสู่จิตใจ
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งระดับไหน สมควรไหมที่พุทธบริษัทจะพร้อมเพรียงกันศึกษาให้เข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อที่จะดำรงความถูกต้องไว้
~ โกรธเกิดแล้ว บังคับบัญชาได้ไหมไม่ให้โกรธ? ไม่ได้ นี้ก็ชัดเจนมั่นคงต่อคำว่า อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่มีใครไปทำเลย แต่มีปัจจัยที่จะเกิดก็ต้องเกิดขึ้น แต่ก็ดีที่รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นธรรม ข้อสำคัญที่สุด คือ ถึงความเข้าใจถูกต้อง ว่า เป็นธรรม
~ ถ้าเป็นคำที่ถูกต้องและจริง สมควรไหมที่จะให้คนอื่นได้รู้ ได้เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้น ก็สมควรอย่างยิ่ง ที่จะต้องเริ่มเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของพระธรรมและไม่ทอดทิ้ง ไม่ละเลยที่จะปล่อยให้มีการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่มีการร่วมมือกันทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งที่ทำได้ ก็คือ เผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง ให้คนอื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้องทุกคำ จากความหวังดีของผู้ที่หวังดีที่จะให้เป็นกุศล ไม่ว่าเขาจะทำผิดด้วยประการใดก็ตาม แต่ถ้าได้ฟังแล้วคิดไตร่ตรองและทำสิ่งที่ถูกต้อง นั่น ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและคนอื่นด้วย
~ เอาความไม่รู้ไปแก้ปัญหาและสิ่งที่ผิดๆ ไม่ได้เลย หนทางเดียวก็คือว่าต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมวินัย จึงสามารถที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้น การเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง ด้วยความหวังดี ด้วยความที่เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่พุทธบริษัท ไม่ใช่เป็นการกล่าวร้ายใคร หวังร้ายใคร หรือจะทำร้ายใครเลย แต่ว่าเป็นการให้เข้าใจถูกต้อง เพื่อที่ชาวพุทธจะได้ช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนา
~ การเป็นภิกษุต่างจากคฤหัสถ์มาก แต่ข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ ภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง จึงสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ได้ คือ สละความยินดีที่จะเป็นคฤหัสถ์ที่จะรับเงินและทอง ด้วยเหตุนี้ ภิกษุใดเพียงแค่ยินดีในเงินและทอง ก็ไม่เป็นภิกษุตามพระธรรมวินัย เพราะว่ายังเป็นคฤหัสถ์ที่ยินดีในเงินและทอง แล้วถ้าถึงกับรับเงินและทอง นั่นก็ไม่ต่างจากคฤหัสถ์เลย
~ ความประพฤติที่ผิดทั้งหมด มาจากความไม่รู้ แล้วใครจะรู้ว่าไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระธรรมไม่ได้สาธารณะ (คือ ไม่ทั่วไป) กับทุกคน ต้องสำหรับคนที่สะสมมาที่จะเห็นคุณค่าและศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ที่รู้ว่าทุกคำของพระองค์ เพื่อการขัดเกลากิเลส ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต
~ ขณะใดที่เข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ขณะนั้น รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? ถ้าไม่รู้คุณจะบูชาได้ไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อรู้คุณแล้ว ทุกอย่างที่กระทำ ก็กระทำด้วยการที่จะเป็นไปเพื่อที่จะดำรงพระพุทธศาสนา ก็เป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ความเข้าใจของทุกคนที่ตรงตามพระธรรมวินัย ก็เป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
~ ความเข้าใจธรรม นำมาซึ่งกุศล (ความดี) ทั้งปวง
~ เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจากโลกนี้ไป อะไรก็ไม่สามารถจะติดตามไปได้เลย ทรัพย์สมบัติหรือว่าร่างกาย ก็ไปไม่ได้ แต่ว่า ความเข้าใจถูกความเห็นถูก ที่ค่อยๆ สะสม โดยความไม่ประมาท จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
~ ความประพฤติที่ผิดทั้งหมด มาจากความไม่รู้ แล้วใครจะรู้ว่าไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระธรรมไม่ได้สาธารณะ (คือ ไม่ทั่วไป) กับทุกคน ต้องสำหรับคนที่สะสมมาที่จะเห็นคุณค่าและศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ที่รู้ว่าทุกคำของพระองค์ เพื่อการขัดเกลากิเลส ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต
~ ชีวิตสั้นมาก ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับความเข้าใจธรรม.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๒
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนากุศลจิตทุกขณะที่เกื้อกูลให้เข้าใจพระธรรมค่ะ
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ดีแล้ว งามในเบื้องต้น คือสัจจะ งามในท่ามกลางคือสาระต่อผู้ฟัง งามในที่สุดคือประโยชน์ต่อผู้ฟัง จึงน้อมเคารพอย่างยิ่งด้วยเศียรเกล้า
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
การได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มากมายในพระไตรปิฏก ฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และวิทยากรมูลนิธิเผยศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาถ่ายทอดตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ยิ่งเข้าใจความงามของพระรัตนตรัยมากขึ้น เป็นความประเสริฐของชีวิตที่ได้เกิดมาแล้วได้ศึกษาพระธรรม สะสมกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเข้าใจความจริงของสิ่งทีมีจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแม้ขั้นการฟังที่เป็นการเริ่มต้น ก็มีค่ายิ่งนักเพื่ออบรมเจริญปัญญาในขั้นต่อๆ ไป
กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์เป็นอย่างสูงยิ่ง
อนุโมทนาขอบพระคุณกุศลจิตอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยค่ะ